ทัวร์เที่ยวเวียดนาม | สัมผัสเมืองแห่งวัฒนธรรม และเสน่ห์ที่จะทำให้คุณประทับใจ
ทัวร์เที่ยวเวียดนาม เวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่งดงาม วัฒนธรรมที่หลากหลาย หรืออาหารท้องถิ่นที่อร่อยและโดดเด่น การเดินทางมาที่นี่ไม่เพียงแค่เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ยังทำให้คุณได้สัมผัสความงดงามของประเทศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแท้จริง
.
ทัวร์เที่ยวเวียดนาม กับประวัติศาสตร์ของประเทศเวียดนามที่ควรศึกษาก่อนไปเที่ยว🇻🇳
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
หลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่าพื้นที่เวียดนามมีผู้คนอาศัยมาตั้งแต่ยุคหินเก่า (ประมาณ 500,000 ปีที่แล้ว) โดยยุคสำคัญในช่วงแรกคือวัฒนธรรมด่งเซิน (Dong Son Culture) ซึ่งมีอายุราว 1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นยุคที่ชาวบ้านในเวียดนามเริ่มรู้จักการทำเกษตรกรรมและการหล่อโลหะทองแดง
ยุคอาณาจักรแรก – วานลาง (Van Lang)
เป็นยุคแรกเริ่มของประวัติศาสตร์เวียดนามที่มีการจัดตั้งอาณาจักรในลักษณะโครงสร้างรัฐ สถาปนาขึ้นราวศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราช โดยชนเผ่าหงวกเวียด (Lạc Việt) ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำแดง (Red River Delta) พื้นที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการเพาะปลูก วานลางมีปกครองโดยกษัตริย์ฮุง (Hùng Kings) ที่ปกครองสืบต่อกันถึง 18 รัชกาล ระบบการปกครองของวานลางยังคงเรียบง่าย มีลักษณะกึ่งเผ่าพันธุ์ โดยมีหัวหน้าหมู่บ้านและขุนนางท้องถิ่นดูแลชุมชนต่างๆ โครงสร้างสังคมของวานลางสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเกษตรกรรมที่ขึ้นอยู่กับการปลูกข้าวแบบน้ำฝนและการชลประทาน
ในด้านวัฒนธรรม วานลางมีความสำคัญต่อการพัฒนาวิถีชีวิตของชาวเวียดนามยุคแรก วัฒนธรรมด่งเซิน (Dong Son Culture) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงนี้ มีชื่อเสียงในเรื่องการหล่อโลหะสำริด การทำเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กลองสำริด ซึ่งใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาและการประกาศข่าวสาร วัฒนธรรมนี้ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางการค้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างชาวหงวกเวียดกับชนเผ่าอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาณาจักรวานลางมีความสำคัญในฐานะต้นกำเนิดของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ของชาวเวียดนาม และแม้ว่าจะถูกแทนที่ด้วยอาณาจักรอ้ายเจ๋ (Âu Lạc) ในภายหลัง แต่วานลางยังคงมีบทบาทสำคัญในความทรงจำและตำนานที่เกี่ยวข้องกับการกำเนิดของชาติเวียดนาม เช่น ตำนานกษัตริย์ฮุงที่ยังถูกเคารพสืบทอดในพิธีกรรมพื้นบ้านจนถึงปัจจุบัน
อาณาจักรนามเหวียด (Nam Việt)
ก่อตั้งขึ้นในปี 207 ก่อนคริสต์ศักราช โดย เจ้าเจิ้นถวอ (Triệu Đà) หรือในภาษาจีนเรียกว่า “จ้าวโถว” ซึ่งเป็นอดีตแม่ทัพของราชวงศ์ฉิน (Qin Dynasty) ที่เข้ายึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ของจีนและดินแดนส่วนใหญ่ของเวียดนามตอนเหนือในปัจจุบัน หลังการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน เจิ้นถวอได้ประกาศตั้งอาณาจักรนามเหวียดขึ้น และปกครองในฐานะจักรพรรดิแห่งอาณาจักรอิสระ อาณาจักรนามเหวียดมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพันเยว่ (Panyu) หรือเมืองกว่างโจวในจีนปัจจุบัน และครอบคลุมพื้นที่ทางตอนใต้ของจีน (มณฑลกวางตุ้งและกวางสี) และตอนเหนือของเวียดนาม
ในช่วงเวลาของอาณาจักรนามเหวียด เจิ้นถวอใช้ยุทธวิธีผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนและชนเผ่าพื้นเมืองในภูมิภาค เช่น ชนเผ่าหงวกเวียด (Lạc Việt) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในดินแดน นโยบายการปกครองของเจิ้นถวอมีลักษณะยืดหยุ่น โดยเคารพประเพณีท้องถิ่นและนำระบบราชการของจีนมาปรับใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม อาณาจักรนามเหวียดเผชิญกับแรงกดดันจากจีนอยู่เสมอ และในปี 111 ก่อนคริสต์ศักราช ราชวงศ์ฮั่น (Han Dynasty) ของจีนสามารถพิชิตนามเหวียดได้สำเร็จ ทำให้อาณาจักรนามเหวียดกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิจีน และถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคการปกครองของจีนในเวียดนามที่ยาวนานกว่า 1,000 ปี อาณาจักรนามเหวียดจึงมีบทบาทสำคัญในฐานะจุดเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมและการปกครองของดินแดนเวียดนามในยุคโบราณ

.
ยุคการปกครองของจีน (111 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 938)
เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เวียดนามตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนยาวนานกว่า 1,000 ปี เริ่มต้นเมื่ออาณาจักรนามเหวียด (Nam Việt) ถูกราชวงศ์ฮั่นของจีนพิชิตในปี 111 ปีก่อนคริสต์ศักราช และดินแดนเวียดนามกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิจีน โดยพื้นที่นี้ถูกแบ่งออกเป็นเขตปกครอง เช่น เกียวจี (Giao Chỉ) และญาน (Nhân) ในช่วงนี้ จีนได้ถ่ายทอดวัฒนธรรม ระบบการปกครอง และศาสนา โดยเฉพาะลัทธิขงจื๊อ พุทธศาสนา และลัทธิเต๋า ซึ่งกลายเป็นรากฐานของวัฒนธรรมเวียดนามในเวลาต่อมา นอกจากนี้ จีนยังนำวิทยาการ เช่น การปลูกข้าว การชลประทาน และการทำกระดาษ มาสู่ดินแดนเวียดนาม ทำให้เกิดการพัฒนาในหลายด้าน แต่ในขณะเดียวกัน ชาวเวียดนามพื้นเมืองก็ต้องทนทุกข์กับการเก็บภาษีที่หนักหน่วง และความพยายามของจีนในการกลืนชาติพันธุ์และวัฒนธรรมดั้งเดิมของพวกเขา

.
แม้ว่าจะตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน แต่ชาวเวียดนามไม่เคยหยุดการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ การลุกฮือที่สำคัญในประวัติศาสตร์ เช่น การกบฏของพี่น้องตระกูลจึง (Trưng Sisters) ในปี ค.ศ. 40 ซึ่งนำกองกำลังต่อต้านจีนและสามารถครองอำนาจได้ช่วงสั้นๆ ก่อนจะพ่ายแพ้ในปี ค.ศ. 43 รวมถึงการกบฏของโฝงหุง (Phùng Hưng) และขุนนางพื้นเมืองอื่นๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด การต่อสู้ครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 938 ที่แม่น้ำบั๊กดัง (Bạch Đằng River) เมื่อโงกวน (Ngô Quyền) ชนะกองทัพจีนและสถาปนาเอกราชของเวียดนามได้สำเร็จ นับเป็นจุดสิ้นสุดของยุคการปกครองของจีนและจุดเริ่มต้นของการสร้างชาติที่เข้มแข็งและมีเอกลักษณ์ในยุคต่อมา
ยุคเอกราชและการรวมชาติ (ค.ศ. 938 – ค.ศ. 1802)
เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เวียดนามเริ่มต้นสร้างชาติและพัฒนาความเป็นเอกราชอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากโงกวน (Ngô Quyền) ชนะสงครามแม่น้ำบั๊กดังในปี ค.ศ. 938 เวียดนามสามารถปลดแอกตัวเองจากการปกครองของจีนได้สำเร็จ และสถาปนาอาณาจักรของตนเอง(อาณาจักรไดเวียด Đại Việt)ช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยการก่อตั้งราชวงศ์ต่างๆ ที่ช่วยกันสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติ เช่น ราชวงศ์ลี (Lý Dynasty) ที่ตั้งกรุงทังลอง (Thăng Long) หรือกรุงฮานอยในปัจจุบันเป็นศูนย์กลางของการปกครอง ราชวงศ์ตราน (Trần Dynasty) ที่สามารถป้องกันการรุกรานจากจักรวรรดิมองโกลในศตวรรษที่ 13 และราชวงศ์เล (Lê Dynasty) ซึ่งเป็นยุคที่เวียดนามขยายดินแดนทางตอนใต้เข้าสู่ดินแดนจามปา (Champa) และเขมร ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้เวียดนามพัฒนาความเป็นรัฐชาติที่เข้มแข็ง
อาณาจักรไดเวียด (Đại Việt)
ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1054 โดยกษัตริย์ลีแทงตง (Lý Thánh Tông) แห่งราชวงศ์ลี (Lý Dynasty) ซึ่งเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “ไดโกเวียด” (Đại Cồ Việt) เป็น “ไดเวียด” เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่และความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร หลังจากที่เวียดนามได้รับเอกราชจากจีนในปี ค.ศ. 938 อาณาจักรไดเวียดถือเป็นยุคที่เวียดนามพัฒนาโครงสร้างการปกครองและเอกลักษณ์ของตนเองในฐานะรัฐเอกราช กรุงทังลอง (Thăng Long) หรือฮานอยในปัจจุบันถูกตั้งเป็นเมืองหลวง และกลายเป็นศูนย์กลางของการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม อาณาจักรนี้มีความเข้มแข็งทั้งในด้านการปกครองที่ใช้ระบบราชการและกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลจากจีน รวมถึงการส่งเสริมพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลัก

.
ในยุคของราชวงศ์ตราน (Trần Dynasty, ค.ศ. 1225–1400) ไดเวียดเผชิญกับการรุกรานครั้งใหญ่จากจักรวรรดิมองโกลถึงสามครั้งในศตวรรษที่ 13 แต่สามารถปกป้องอาณาจักรได้สำเร็จ โดยชัยชนะสำคัญเกิดขึ้นที่แม่น้ำบั๊กดัง (Bạch Đằng River) ในปี ค.ศ. 1288 ภายใต้การนำของแม่ทัพตรานฮึงดาว (Trần Hưng Đạo) ทำให้อาณาจักรไดเวียดได้รับการยอมรับในฐานะรัฐที่มีอำนาจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อมาในยุคของราชวงศ์เล (Later Lê Dynasty, ค.ศ. 1428–1789) อาณาจักรขยายตัวทางตอนใต้สู่ดินแดนจามปา (Champa) และเขมร การขยายตัวนี้ไม่เพียงทำให้อาณาจักรไดเวียดมีพื้นที่กว้างขวางขึ้น แต่ยังเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมและทรัพยากรอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงปลายราชวงศ์เลระหว่างตระกูลตรินห์และเหงวียน ทำให้อาณาจักรอ่อนแอและเปิดทางให้ราชวงศ์เหงวียนรวมแผ่นดินได้ในปี ค.ศ. 1802 ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของอาณาจักรไดเวียด
ในช่วงปลายยุคนี้ อาณาจักรเว้ (Hue) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงราชวงศ์เหงวียน (Nguyễn Dynasty) ที่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1802 เมื่อเหงวียนฟุกอัญ (Nguyễn Phúc Ánh) สามารถรวมแผ่นดินเวียดนามทั้งหมดได้สำเร็จและสถาปนาราชวงศ์ของเขา เว้กลายเป็นเมืองหลวงของเวียดนามในยุคนี้ และเป็นศูนย์กลางการปกครอง ศิลปวัฒนธรรม และศาสนา ตัวเมืองเว้ถูกออกแบบให้เป็นศูนย์รวมอำนาจ โดยมีพระราชวังต้องห้าม (Imperial City) ที่สะท้อนสถาปัตยกรรมจีนผสมผสานกับเอกลักษณ์เวียดนาม อาณาจักรเว้ยังเป็นที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิและวัดวาอารามที่สำคัญ ส่งผลให้อาณาจักรเว้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการรวมชาติและการฟื้นฟูเอกลักษณ์ของเวียดนามในยุคที่แผ่นดินถูกรวมเป็นหนึ่งเดียว
อาณาจักรเว้ (Hue)
มีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางการปกครองและวัฒนธรรมของราชวงศ์เหงวียน (Nguyễn Dynasty) ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของเวียดนาม อาณาจักรเว้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ เหงวียนฟุกอัญ (Nguyễn Phúc Ánh) หรือจักรพรรดิซา ลอง (Gia Long) สามารถรวมดินแดนเวียดนามทั้งหมดได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1802 และสถาปนาราชวงศ์เหงวียนขึ้น เมืองเว้ถูกเลือกให้เป็นเมืองหลวง เนื่องจากตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม ทั้งด้านภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม พระราชวังต้องห้ามแห่งเมืองเว้ (Imperial City) ถูกสร้างขึ้นตามรูปแบบสถาปัตยกรรมจีนผสมผสานกับเอกลักษณ์เวียดนาม โดยมีความยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ในฐานะศูนย์กลางการปกครองและพิธีกรรม
ช่วงเวลาของอาณาจักรเว้ (ค.ศ. 1802–1945) เป็นยุคที่เวียดนามรวมตัวเป็นรัฐชาติอย่างสมบูรณ์ ราชวงศ์เหงวียนมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการดินแดนและการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น การสนับสนุนลัทธิขงจื๊อ การฟื้นฟูประเพณีดั้งเดิม และการสร้างศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เวียดนามเผชิญกับความท้าทายจากการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส และในที่สุด อาณาจักรเว้ก็กลายเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1887 แม้ราชวงศ์เหงวียนยังคงดำรงตำแหน่งในเชิงสัญลักษณ์ แต่ก็สูญเสียอำนาจที่แท้จริง
ยุคอาณานิคมฝรั่งเศส (ค.ศ. 1858 – ค.ศ. 1954)
เป็นช่วงเวลาที่เวียดนามตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิฝรั่งเศส โดยเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1858 เมื่อฝรั่งเศสบุกเข้ายึดเมืองดานัง (Đà Nẵng) เป็นจุดเริ่มต้นของการรุกราน หลังจากนั้น ฝรั่งเศสขยายอำนาจครอบคลุมดินแดนของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ซึ่งถูกจัดตั้งให้เป็นอาณานิคมที่เรียกว่า อินโดจีนฝรั่งเศส (French Indochina) ในปี ค.ศ. 1887 ระบอบการปกครองของฝรั่งเศสมีลักษณะกดขี่และเอาเปรียบ โดยชาวเวียดนามถูกบังคับให้ทำงานหนักในไร่นาและเหมืองแร่ รวมถึงการเก็บภาษีที่สูง นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังใช้ระบบการศึกษาสมัยใหม่และการบริหารที่นำเข้าจากตะวันตก เพื่อควบคุมและหล่อหลอมวัฒนธรรมของชาวเวียดนามในแนวทางที่สนับสนุนผลประโยชน์ของตนเอง

.
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ขบวนการต่อต้านฝรั่งเศสเริ่มมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มชาตินิยมและคอมมิวนิสต์ เช่น ขบวนการเวียดมินห์ (Việt Minh) ที่นำโดย โฮจิมินห์ (Hồ Chí Minh) ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่ออิสรภาพ ขณะที่ฝรั่งเศสพยายามรักษาอำนาจของตน การเคลื่อนไหวของเวียดมินห์ก็กระชับขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง (First Indochina War) ระหว่างปี ค.ศ. 1946–1954 การต่อสู้ครั้งสำคัญเกิดขึ้นที่ยุทธการเดียนเบียนฟู (Battle of Điện Biên Phủ) ในปี ค.ศ. 1954 ซึ่งกองกำลังเวียดมินห์สามารถเอาชนะกองทัพฝรั่งเศสได้สำเร็จ เหตุการณ์นี้นำไปสู่การลงนาม ข้อตกลงเจนีวา (Geneva Accords) ซึ่งยุติสงครามและแบ่งเวียดนามออกเป็นสองส่วน คือเวียดนามเหนือที่ปกครองโดยเวียดมินห์ และเวียดนามใต้ที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก ยุคอาณานิคมฝรั่งเศสจึงสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1954 และเปิดทางสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสงครามครั้งใหม่ในเวียดนาม
สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (Democratic Republic of Vietnam)
ในปี ค.ศ. 1945 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์เวียดนาม โดยเป็นจุดสิ้นสุดของระบบจักรวรรดิและการปกครองโดยราชวงศ์ในเวียดนาม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมอย่างใหญ่หลวง หลังจากเวียดนามอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสมานานหลายทศวรรษ โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเข้ามายึดครองเวียดนามและลดบทบาทของฝรั่งเศส ทำให้เกิดช่องว่างทางอำนาจที่เปิดโอกาสให้ขบวนการปฏิวัติของเวียดมินห์ (Việt Minh) ซึ่งนำโดยโฮจิมินห์ (Hồ Chí Minh) เคลื่อนไหวอย่างแข็งขันเพื่อปลดปล่อยเวียดนามจากการปกครองของต่างชาติ


.
ในปี ค.ศ. 1945 หลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามและถอนตัวออกจากเวียดนาม เวียดมินห์ได้ฉวยโอกาสประกาศการปฏิวัติเดือนสิงหาคม (August Revolution) เพื่อยึดอำนาจการปกครอง โฮจิมินห์นำกองกำลังเข้ายึดกรุงฮานอย และเมื่อสถานการณ์บีบบังคับ จักรพรรดิเบ๋าได๋ได้ตัดสินใจ สละราชสมบัติเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1945 เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและสนับสนุนความเป็นเอกภาพของชาติ หลังจากการสละราชสมบัติ เวียดมินห์ได้ประกาศสถาปนา สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (Democratic Republic of Vietnam) ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945 โดยโฮจิมินห์ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี นับเป็นการเริ่มต้นของยุคใหม่ในประวัติศาสตร์เวียดนาม ที่เปลี่ยนผ่านจากระบบราชาธิปไตยสู่การเป็นรัฐประชาธิปไตยที่นำโดยขบวนการปฏิวัติของประชาชน
สงครามเวียดนาม (ค.ศ. 1955 – ค.ศ. 1975)
เป็นความขัดแย้งทางการเมืองและการทหารที่เกิดขึ้นในเวียดนามหลังจากการแบ่งประเทศตามข้อตกลงเจนีวา (Geneva Accords) ในปี ค.ศ. 1954 เวียดนามถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนที่เส้นขนานที่ 17 โดยเวียดนามเหนือปกครองโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ภายใต้โฮจิมินห์ (Hồ Chí Minh) และเวียดนามใต้ปกครองโดยรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ภายใต้ผู้นำเช่น โงดิ่ญเดี่ยม (Ngô Đình Diệm) ความตึงเครียดเริ่มเพิ่มสูงขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สามารถประนีประนอมกันได้ และเกิดการสู้รบระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ โดยมีเวียดกง (Viet Cong) หรือแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ เป็นกองกำลังสำคัญที่สนับสนุนเวียดนามเหนือและทำสงครามกองโจรในพื้นที่เวียดนามใต้

.
สหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเวียดนามใต้ โดยเริ่มต้นด้วยการส่งที่ปรึกษาทางทหารในช่วงแรก และเพิ่มกำลังทหารอย่างมากในปี ค.ศ. 1965 เพื่อต่อต้านการรุกคืบของเวียดกงและกองกำลังเวียดนามเหนือ อย่างไรก็ตาม สงครามกลับทวีความรุนแรงขึ้นและสร้างความเสียหายมหาศาลทั้งในด้านชีวิตและทรัพยากร ความขัดแย้งยังนำมาซึ่งการประท้วงต่อต้านสงครามในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ในที่สุด สหรัฐฯ ตัดสินใจถอนกำลังออกจากเวียดนามในปี ค.ศ. 1973 หลังจากลงนามในข้อตกลงสันติภาพปารีส (Paris Peace Accords) แต่สงครามยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1975 เมื่อกองกำลังเวียดนามเหนือสามารถบุกยึดกรุงไซง่อน (Saigon) ได้สำเร็จ สงครามสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของเวียดนามเหนือ และนำไปสู่การรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวในชื่อ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam) ในปี ค.ศ. 1976 สงครามเวียดนามจึงเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามในด้านมนุษยธรรม การเมือง และเศรษฐกิจที่ยังคงส่งผลต่อเวียดนามและโลกจนถึงปัจจุบัน
ยุคปัจจุบัน หลังจากรวมชาติในปี ค.ศ. 1976 เวียดนามเปลี่ยนชื่อเป็น “สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” และดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ต่อมาในปี ค.ศ. 1986 รัฐบาลได้ประกาศนโยบาย “โด๋ยเม่ย” (Đổi Mới) ซึ่งเป็นการปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศสู่การค้าเสรี ปัจจุบันเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชีย โดยมีจุดเด่นด้านการท่องเที่ยว การส่งออกสินค้า และวัฒนธรรมที่หลากหลาย
“โดยเวียดนามในปัจจุบันยังคงผสมผสานประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมดั้งเดิม และการพัฒนาในยุคใหม่ไว้อย่างลงตัว ทำให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการไปเยือน”
.
ทัวร์เที่ยวเวียดนาม กับลักษณะการเมืองการปกครองในปัจจุบัน🇻🇳
ลักษณะการเมืองการปกครองของเวียดนามในปัจจุบัน มีรูปแบบเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมภายใต้การปกครองของพรรคเดียวคือ พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (Communist Party of Vietnam – CPV) ซึ่งถือเป็นพรรคการเมืองที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศ โดยมีบทบาทในการกำหนดนโยบายและทิศทางของรัฐทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ระบบการปกครองของเวียดนามถูกกำหนดภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดที่ประกาศใช้ในปี ค.ศ. 2013
.
โครงสร้างการปกครอง
1. ประธานาธิบดี ดำรงตำแหน่งในฐานะประมุขของรัฐและเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประธานาธิบดีได้รับเลือกโดยสภาแห่งชาติ และมีบทบาทเชิงพิธีการและการอนุมัติการแต่งตั้งบุคคลสำคัญในรัฐบาล
2. นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและรับผิดชอบการดำเนินนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการบริหารจัดการเศรษฐกิจและการพัฒนา
3. สภาแห่งชาติ (National Assembly) เป็นองค์กรนิติบัญญัติสูงสุดของเวียดนาม สมาชิกสภาแห่งชาติมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีหน้าที่ร่างกฎหมาย อนุมัติงบประมาณ และกำกับดูแลการทำงานของรัฐบาล
4. พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม มีบทบาทสำคัญที่สุดในการกำหนดนโยบายและทิศทางของประเทศ โดยมีคณะกรรมการกลางพรรค (Central Committee) และคณะกรรมการการเมือง (Politburo) เป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจทางการเมือง

.
แม้จะเป็นระบบพรรคเดียว แต่เวียดนามได้ดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจภายใต้แนวคิด “โด๋ยเม่ย” (Đổi Mới) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเน้นการเปิดเสรีเศรษฐกิจและการผสมผสานกลไกตลาดเข้ากับระบบสังคมนิยม ส่งผลให้เวียดนามมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นและเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในด้านการเมือง เวียดนามยังคงรักษารูปแบบการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์ โดยการวิพากษ์วิจารณ์พรรคหรือรัฐบาลถูกควบคุมอย่างเข้มงวด สื่อมวลชนและการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัดอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การปกครองที่มั่นคงของพรรคคอมมิวนิสต์ช่วยเสริมสร้างความเป็นเอกภาพและความต่อเนื่องของนโยบายที่นำพาประเทศสู่การพัฒนาในระยะยาว
.
การแบ่งเขตการปกครองในเวียดนาม
เวียดนามแบ่งเขตการปกครองเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่ ภาค (Regions), จังหวัด (Provinces) และ อำเภอ (Districts) โดยมีรายละเอียดดังนี้
การแบ่งการปกครองระดับภาค
เวียดนามแบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 ภาคหลัก (Regions) ตามลักษณะภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจ
1. ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ (Northwest Region) พื้นที่ภูเขา ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อย เช่น จังหวัดเดียนเบียน (Điện Biên), ลายเจิว (Lai Châu), ซอนลา (Sơn La)
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeast Region) พื้นที่ภูเขาและมีชายแดนติดกับจีน เช่น จังหวัดกว๋างนินห์ (Quảng Ninh), ฮาซาง (Hà Giang)
3. ภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง (Red River Delta) พื้นที่เกษตรกรรมสำคัญ เช่น กรุงฮานอย (Hà Nội), ไฮฟอง (Hải Phòng)
4. ภาคตอนกลางตอนเหนือ (North Central Coast) พื้นที่ชายฝั่งและภูเขาตอนเหนือ เช่น จังหวัดแทงฮว้า (Thanh Hóa), เหงะอาน (Nghệ An)
5. ภาคตอนกลางตอนใต้ (South Central Coast) พื้นที่ชายฝั่งทะเล เช่น ดานัง (Đà Nẵng), กว๋างนาม (Quảng Nam), ญาจาง (Nha Trang)
6. ภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong Delta) พื้นที่ทางตอนใต้ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารและข้าวสำคัญ เช่น โฮจิมินห์ซิตี้ (Ho Chi Minh City), กานโถ (Cần Thơ)
.
การแบ่งการปกครองระดับจังหวัด
เวียดนามมีการแบ่งการปกครองออกเป็น 58 จังหวัด (Provinces) และ 5 เทศบาลนคร (Municipalities) ซึ่งมีสถานะเทียบเท่าจังหวัด โดยเทศบาลนครทั้ง 5 คือ
1 กรุงฮานอย (Hà Nội) – เมืองหลวง
2 นครโฮจิมินห์ (Thành phố Hồ Chí Minh) – เมืองเศรษฐกิจสำคัญ
3 ดานัง (Đà Nẵng) – เมืองศูนย์กลางภาคกลาง
4 ไฮฟอง (Hải Phòng) – เมืองท่าทางตอนเหนือ
5 กานโถ (Cần Thơ) – เมืองหลักของภาคใต้ตอนล่าง
.
การแบ่งการปกครองระดับอำเภอ
ในแต่ละจังหวัดจะถูกแบ่งออกเป็น
🟡 อำเภอ (Districts)
🟡 เมือง (Cities within provinces)
🟡 ตำบล (Communes) และ แขวง (Wards)
โครงสร้างการปกครองนี้ทำให้เวียดนามสามารถบริหารจัดการพื้นที่ที่หลากหลายในด้านภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การจัดการแต่ละระดับยังขึ้นอยู่กับการกำกับดูแลของรัฐบาลส่วนกลางผ่านทางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
.
ทัวร์เที่ยวเวียดนาม กับภูมิอากาศของเวียดนาม🇻🇳
มีลักษณะเป็น เขตร้อนชื้นมรสุม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากทั้งลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลาย ทำให้ภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยสามารถแบ่งเป็น 3 ภูมิภาคหลักตามลักษณะภูมิอากาศได้ดังนี้
.
1. ภาคเหนือ (Northern Vietnam)
ลักษณะภูมิอากาศ มีลักษณะกึ่งเขตร้อนชื้นและแบ่งฤดูออกเป็น 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง
⚪ ฤดูหนาว (พฤศจิกายน – มีนาคม) อากาศเย็นและแห้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาสูง เช่น ซาปา (Sa Pa) อุณหภูมิอาจลดลงต่ำถึง 0°C
⚪ ฤดูร้อน (พฤษภาคม – กันยายน) อากาศร้อนและชื้น มีฝนตกหนักจากอิทธิพลของมรสุม
อุณหภูมิ เฉลี่ย 15°C – 30°C ขึ้นอยู่กับฤดูกาล
.
2. ภาคกลาง (Central Vietnam)
ลักษณะภูมิอากาศ พื้นที่ภาคกลางมีลักษณะภูมิอากาศที่ซับซ้อนเนื่องจากภูมิประเทศแคบและยาว
⚪ ชายฝั่งตอนบน (ดานัง, ฮอยอัน) อากาศร้อนและชื้นในฤดูร้อน และมีฝนตกหนักในฤดูฝน (กันยายน – ธันวาคม)
⚪ ชายฝั่งตอนล่าง (ญาจาง, ฟู้ก๊วก) อากาศอบอุ่นตลอดปี ฝนตกน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตอนบน
อุณหภูมิ เฉลี่ย 20°C – 35°C
.
3. ภาคใต้ (Southern Vietnam)
ลักษณะภูมิอากาศ มีลักษณะภูมิอากาศแบบเขตร้อนชื้น โดยแบ่งเป็น 2 ฤดูชัดเจน
⚪ ฤดูฝน (พฤษภาคม – พฤศจิกายน) ฝนตกชุกโดยเฉพาะในช่วงเย็น
⚪ ฤดูแล้ง (ธันวาคม – เมษายน) อากาศร้อนและแห้ง
อุณหภูมิ ค่อนข้างคงที่อยู่ระหว่าง 25°C – 35°C ตลอดปี
“ภูมิอากาศของเวียดนามมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับภูมิภาคและฤดูกาล โดยภาคเหนือมีอากาศเย็นในฤดูหนาว ภาคกลางมีฝนตกหนักในบางช่วง และภาคใต้มีอากาศร้อนชื้นตลอดปี ความหลากหลายทางภูมิอากาศนี้ทำให้เวียดนามเหมาะสำหรับกิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลายประเภท เช่น การสำรวจธรรมชาติในซาปา ชมชายหาดในดานัง หรือสำรวจแม่น้ำในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง”
.
ทัวร์เที่ยวเวียดนาม ทำไมถึงควรเที่ยวเวียดนาม🇻🇳
ทัวร์เที่ยวเวียดนาม เพราะเวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางที่ควรค่าแก่การเยือนด้วยเหตุผลหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ความงดงามของธรรมชาติ ที่ครอบคลุมทั้งภูเขาเขียวขจี ทะเลสาบที่เงียบสงบ และชายหาดที่สวยงามอย่างอ่าวฮาลอง (Ha Long Bay) และดานัง นอกจากนี้ เวียดนามยังมี วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันลึกซึ้ง ซึ่งสะท้อนผ่านเมืองโบราณ เช่น ฮอยอัน (Hoi An) และโบราณสถานในเมืองเว้ (Hue) สำหรับผู้ที่หลงใหลในอาหาร การท่องเที่ยวในเวียดนามยังมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ด้วยเมนูอาหารพื้นเมืองเลิศรส เช่น เฝอ (Pho) และบั๋นหมี่ (Bánh Mì) ที่ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกและเอเชียได้อย่างลงตัว อีกทั้งค่าครองชีพที่ไม่สูงมาก ทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับการเดินทางในราคาที่คุ้มค่า เวียดนามจึงเป็นปลายทางที่ครบครัน ทั้งความงาม วัฒนธรรม และประสบการณ์ที่หลากหลายสำหรับนักเดินทางทุกประเภท
.
10 สถานที่เที่ยวที่ห้ามพลาดเมื่อเริ่มต้นเที่ยวประเทศเวียดนาม🇻🇳
1 อ่าวฮาลอง (Ha Long Bay) จังหวัดกว๋างนินห์ (Quảng Ninh)
อ่าวฮาลอง (Ha Long Bay) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดในเวียดนาม และได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1994 ด้วยทัศนียภาพที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มเกาะหินปูนกว่า 1,600 เกาะ ซึ่งกระจายตัวอยู่ในทะเลจีนใต้ อ่าวแห่งนี้มีน้ำทะเลสีเขียวมรกตที่สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ และภูมิทัศน์ที่เต็มไปด้วยหินปูนสูงตระหง่าน ซึ่งบางแห่งมีถ้ำธรรมชาติที่น่าทึ่ง เช่น ถ้ำถิ่นซอน (Thien Cung Cave) และถ้ำเซิ่งเซาะ (Sung Sot Cave) การล่องเรือสำรวจอ่าวฮาลองเป็นกิจกรรมยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวสามารถชมความงดงามของธรรมชาติอย่างใกล้ชิด พร้อมสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้านลอยน้ำ เช่น หมู่บ้านไบ่เจ๋ย (Bai Chay Floating Village)

.
นอกจากความสวยงามทางธรรมชาติแล้ว อ่าวฮาลองยังมีกิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลายที่เหมาะสำหรับนักเดินทางทุกสไตล์ เช่น การพายเรือคายัคผ่านช่องเขาแคบเพื่อสำรวจอ่าวที่ซ่อนอยู่ การปีนเขาบนเกาะต่างๆ เช่น เกาะกั๊ตบา (Cat Ba Island) ที่มีทิวทัศน์อันงดงามจากมุมสูง และการพักผ่อนบนเรือสำราญแบบหรูหราในบรรยากาศเงียบสงบ อ่าวฮาลองยังเหมาะสำหรับการพักผ่อนแบบคู่รัก ครอบครัว หรือการเดินทางคนเดียว เพราะมีทั้งรีสอร์ทและที่พักหลากหลายระดับ รวมถึงร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารทะเลสดใหม่ให้ลิ้มลอง ความน่าสนใจของอ่าวฮาลองจึงไม่เพียงแค่ความงามทางธรรมชาติ แต่ยังรวมถึงประสบการณ์ที่หลากหลายและการต้อนรับที่อบอุ่นจากคนท้องถิ่น
.
2 เมืองฮอยอัน (Hoi An Ancient Town) จังหวัดกว๋างนาม (Quảng Nam)
เมืองฮอยอัน (Hoi An Ancient Town) เป็นเมืองโบราณที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1999 ความพิเศษของฮอยอันอยู่ที่การผสมผสานของวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกที่สะท้อนผ่านสถาปัตยกรรม บ้านเรือนโบราณ สะพาน และวัดวาอาราม ตัวเมืองเต็มไปด้วยบ้านไม้สีเหลืองสดใสที่มีหน้าต่างไม้ฉลุและหลังคากระเบื้องดินเผา สะท้อนถึงวัฒนธรรมของชาวจีน ญี่ปุ่น และชาวยุโรปที่เคยค้าขายในเมืองนี้ สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge) ซึ่งสร้างในศตวรรษที่ 17 เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองและเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินเล่นตามถนนสายเล็กๆ ในเมืองเพื่อชมแกลเลอรี ร้านขายงานฝีมือ และร้านขายเสื้อผ้าแบบดั้งเดิม

.
ในยามค่ำคืน เมืองฮอยอันเปล่งประกายด้วยแสงไฟจากโคมไฟหลากสีที่ประดับอยู่ทั่วเมือง บรรยากาศโรแมนติกและสงบเงียบนี้เหมาะสำหรับการล่องเรือบนแม่น้ำทูโบน (Thu Bon River) หรือการนั่งจิบกาแฟในร้านกาแฟเก่าแก่ ฮอยอันยังเป็นที่รู้จักในเรื่องอาหารท้องถิ่นที่อร่อย เช่น ก๋วยเตี๋ยวเกาเหล่า (Cao Lau) และบั๋นบ่าห (Banh Bao Banh Vac) ที่เรียกว่า “เกี๊ยวสีขาว” นักท่องเที่ยวยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การเรียนทำอาหารเวียดนาม การปั่นจักรยานสำรวจหมู่บ้านรอบนอก หรือการชมทุ่งนาสีเขียวที่ล้อมรอบเมือง ฮอยอันจึงเป็นจุดหมายปลายทางที่มอบประสบการณ์ทางวัฒนธรรม อาหาร และความงามทางธรรมชาติที่ไม่ควรพลาด
.
3 เมืองเว้ (Hue Imperial City) จังหวัดเถื่อเทียน-เว้ (Thừa Thiên-Huế)
เมืองเว้ (Hue Imperial City) เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเวียดนาม โดยเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์เหงวียน (Nguyễn Dynasty) ระหว่างปี ค.ศ. 1802-1945 และเป็นศูนย์กลางการปกครอง วัฒนธรรม และศาสนาของประเทศ เมืองเว้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1993 โดยจุดเด่นสำคัญคือ พระราชวังต้องห้าม (Imperial City) ซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและคูน้ำขนาดใหญ่ ตัวพระราชวังมีโครงสร้างที่สะท้อนสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมผสานกับเอกลักษณ์เวียดนาม ภายในมีอาคารสำคัญ เช่น ประตูเงิ้ตมง (Ngo Mon Gate), พระราชวังไทฮวา (Thai Hoa Palace) และ วิหารราชวงศ์ (The Mieu Temple) ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรในอดีต

.
นอกจากพระราชวัง เมืองเว้ยังมีสุสานจักรพรรดิที่งดงามและสง่างาม เช่น สุสานจักรพรรดิมินห์มาง (Minh Mang Tomb), สุสานจักรพรรดิตือดึ๊ก (Tu Duc Tomb) และ สุสานจักรพรรดิเค่ยดินห์ (Khai Dinh Tomb) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยธรรมชาติและออกแบบอย่างประณีต สุสานเหล่านี้สะท้อนถึงศิลปะและวัฒนธรรมของราชวงศ์เหงวียนในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด เมืองเว้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารเวียดนามแบบดั้งเดิม เช่น บุ๋นบ่อเหว้ (Bun Bo Hue) และขนมพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์ เว้จึงเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติได้อย่างครบถ้วน และเป็นจุดหมายที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าใจความเป็นเวียดนามอย่างลึกซึ้ง
.
4 ซาปา (Sa Pa) จังหวัดลาวไก (Lào Cai)
ซาปา (Sa Pa) เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดลาวไก (Lào Cai) ทางตอนเหนือของเวียดนาม โดยตั้งอยู่บนที่ราบสูงใกล้กับชายแดนจีน ซาปามีชื่อเสียงในฐานะจุดหมายปลายทางที่งดงามสำหรับการพักผ่อนในธรรมชาติและการสัมผัสวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง เมืองนี้ล้อมรอบด้วยทิวเขาที่งดงาม ทุ่งนาขั้นบันไดที่ทอดยาว และอากาศเย็นสบายตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวเมื่อยอดเขาบางแห่งปกคลุมด้วยหิมะ สถานที่ที่ไม่ควรพลาดในซาปาคือ ภูเขาฟานซีปัน (Fansipan) ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอินโดจีน นักท่องเที่ยวสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์อันงดงาม หรือปีนเขาสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย

.
ซาปายังมีความโดดเด่นในเรื่องของวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าต่างๆ เช่น เผ่าม้ง (Hmong) เผ่าเย้าแดง (Red Dao) และเผ่าไต (Tay) นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมหมู่บ้านชนเผ่า เช่น หมู่บ้านกั๊ตกั๊ต (Cat Cat Village) และหมู่บ้านตาฟาน (Ta Van Village) เพื่อสัมผัสวิถีชีวิต ประเพณี และงานฝีมือพื้นเมือง เช่น การทอผ้าและการย้อมคราม ตลาดซาปายังเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถพบกับสินค้าพื้นเมืองและอาหารท้องถิ่น เช่น หม้อไฟเวียดนาม (Hot Pot) และเมนูที่ทำจากปลาน้ำจืด นอกจากนี้ การเดินป่าและการถ่ายภาพทิวทัศน์ในเส้นทางธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำตกซิลเวอร์ (Silver Waterfall) และ น้ำตกเลิฟ (Love Waterfall) ยังเป็นกิจกรรมยอดนิยมที่ช่วยเติมเต็มการเดินทางในซาปาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
.
5 ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม (Hoan Kiem Lake) กรุงฮานอย (Hà Nội)
ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม (Hoan Kiem Lake) หรือที่รู้จักในภาษาไทยว่า “ทะเลสาบคืนดาบ” ตั้งอยู่ใจกลางกรุงฮานอย (Hà Nội) และเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความสงบงดงาม ทะเลสาบนี้มีความเกี่ยวข้องกับตำนานพื้นบ้านของเวียดนามเรื่องจักรพรรดิเลโลย (Lê Lợi) ผู้ที่ได้รับดาบวิเศษจากเทพเจ้าเพื่อขับไล่ผู้รุกรานจีน หลังจากที่เวียดนามได้รับอิสรภาพ จักรพรรดิเลโลยได้คืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ในทะเลสาบแห่งนี้ ตำนานดังกล่าวทำให้ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยมกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักชาติและเอกราชของชาวเวียดนาม

.
ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยมยังเป็นสถานที่พักผ่อนที่ได้รับความนิยมในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว รอบทะเลสาบมีเส้นทางเดินเล่นที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ และสะพานสีแดงอันโดดเด่นที่นำไปสู่ วิหารหงอกเซิน (Ngoc Son Temple) ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ วิหารนี้มีความสำคัญทางวัฒนธรรมและศาสนา และมีบรรยากาศเงียบสงบเหมาะสำหรับการไหว้พระและชมทิวทัศน์ นอกจากนี้ ในยามค่ำคืน ทะเลสาบจะประดับด้วยแสงไฟที่สะท้อนลงบนผืนน้ำ สร้างบรรยากาศที่โรแมนติกและน่าประทับใจ นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับการเดินเล่นรอบทะเลสาบ ชมการแสดงพื้นบ้าน หรือจิบกาแฟเวียดนามในร้านกาแฟใกล้เคียงที่มีวิวทะเลสาบสวยงาม ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยมจึงเป็นสถานที่ที่ผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความงดงามของธรรมชาติได้อย่างลงตัว
.
6 อุโมงค์กู๋จี (Cu Chi Tunnels) นครโฮจิมินห์ (Thành phố Hồ Chí Minh)
อุโมงค์กู๋จี (Cu Chi Tunnels) ตั้งอยู่ในจังหวัดกว๋างนาม (Quảng Nam) ใกล้นครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และความพยายามของชาวเวียดนามในช่วงสงครามเวียดนาม อุโมงค์แห่งนี้เป็นเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินที่ยาวกว่า 250 กิโลเมตร ถูกสร้างขึ้นโดยกองกำลังเวียดกง (Viet Cong) เพื่อใช้เป็นที่พักพิง ซ่อนตัวจากศัตรู และเป็นเส้นทางในการลำเลียงอาวุธและเสบียง อุโมงค์กู๋จีมีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติการทางทหารของเวียดกง และเป็นสัญลักษณ์ของความอดทน ความคิดสร้างสรรค์ และการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวเวียดนาม


.
นักท่องเที่ยวที่เยี่ยมชมอุโมงค์กู๋จีสามารถสัมผัสประสบการณ์การเดินสำรวจในอุโมงค์จำลองที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งออกแบบให้เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน โดยภายในอุโมงค์มีห้องพัก ห้องประชุม และห้องครัวที่สะท้อนวิถีชีวิตของกองกำลังเวียดกง นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงอาวุธ เครื่องมือ และดักกับดักที่ใช้ในสงคราม เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้เรียนรู้เกี่ยวกับยุทธวิธีและเทคนิคที่ชาวเวียดนามใช้ในการต่อสู้ อุโมงค์กู๋จีจึงไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความยากลำบากและความเสียสละของชาวเวียดนามในช่วงสงคราม ทำให้นักท่องเที่ยวได้รับทั้งความรู้และความประทับใจในความกล้าหาญของชาวเวียดนาม
.
7 โบสถ์นอร์ทเทอดาม (Notre Dame Cathedral) – นครโฮจิมินห์ (Thành phố Hồ Chí Minh)
โบสถ์นอร์ทเทอดาม (Notre Dame Cathedral) หรือชื่อเต็มว่า Notre-Dame Cathedral Basilica of Saigon ตั้งอยู่ใจกลางนครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคมฝรั่งเศส โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1863-1880 โดยชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาปกครองเวียดนาม ตัวโบสถ์มีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิกและโรมาเนสก์ที่งดงาม โครงสร้างส่วนใหญ่สร้างจากอิฐแดงนำเข้าจากฝรั่งเศส ซึ่งยังคงสีสันสดใสแม้เวลาจะผ่านมาหลายทศวรรษ ด้านหน้าของโบสถ์มีหอระฆังคู่สูงกว่า 58 เมตรที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล และเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว

.
บริเวณรอบโบสถ์มีลานกว้างที่มีรูปปั้นพระแม่มารี (Statue of Virgin Mary) ตั้งอยู่ตรงกลาง สร้างบรรยากาศที่เงียบสงบและสง่างาม โบสถ์แห่งนี้ยังคงใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีมิสซาของชาวคริสต์ในนครโฮจิมินห์ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมภายในในบางช่วงเวลา ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างประณีตด้วยหน้าต่างกระจกสี (Stained Glass) ที่สวยงาม ซึ่งเล่าเรื่องราวจากพระคัมภีร์และศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ พื้นที่รอบโบสถ์ยังรายล้อมด้วยสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น ที่ทำการไปรษณีย์กลาง (Central Post Office) ที่ออกแบบโดยกุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) ทำให้โบสถ์นอร์ทเทอดามเป็นศูนย์กลางที่เหมาะสำหรับการเดินเที่ยวชมสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ในย่านเมืองเก่าของโฮจิมินห์
.
8 ฟู้ก๊วก (Phu Quoc Island) จังหวัดเกียนยาง (Kiên Giang)
ฟู้ก๊วก (Phu Quoc Island) เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ตั้งอยู่ในอ่าวไทย ใกล้กับชายแดนกัมพูชา และถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการพักผ่อนริมทะเล เกาะแห่งนี้ได้รับฉายาว่า “ไข่มุกแห่งเวียดนาม” เนื่องจากมีหาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลใส และธรรมชาติที่สมบูรณ์ สถานที่ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดบนเกาะฟู้ก๊วก ได้แก่ หาดลองบีช (Long Beach) ซึ่งเหมาะสำหรับการพักผ่อนและชมพระอาทิตย์ตกที่งดงาม และ หาดไซโอ (Sao Beach) ที่มีทรายละเอียดเหมือนผงแป้ง นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถสนุกกับกิจกรรมทางน้ำ เช่น การดำน้ำดูปะการัง การพายเรือคายัค และการตกปลา

.
ฟู้ก๊วกยังมีความน่าสนใจในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชุมชน เช่น การเยี่ยมชม หมู่บ้านชาวประมงฮัมนิญ (Ham Ninh Fishing Village) เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตแบบท้องถิ่นและลิ้มลองอาหารทะเลสดใหม่ รวมถึงการแวะชม โรงงานผลิตน้ำปลาฟู้ก๊วก (Phu Quoc Fish Sauce Factory) ซึ่งผลิตน้ำปลาที่มีชื่อเสียงระดับโลก นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชม สวนชาติฟู้ก๊วก (Phu Quoc National Park) ที่เป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางธรรมชาติ เช่น ป่าเขตร้อน น้ำตก และสัตว์ป่านานาชนิด หรือเยี่ยมชม เจดีย์ดิงเกา (Dinh Cau Night Market) ที่มีทั้งอาหารทะเลสด อาหารท้องถิ่น และของฝากที่น่าสนใจ ฟู้ก๊วกจึงเป็นจุดหมายปลายทางที่ครบครันทั้งความงามทางธรรมชาติ วัฒนธรรม และกิจกรรมที่หลากหลายสำหรับนักเดินทางทุกเพศทุกวัย
.
9 อุทยานแห่งชาติฟงญา-แก๋บ่าง (Phong Nha-Ke Bang National Park) จังหวัดกว๋างบิ่ญ (Quảng Bình)
อุทยานแห่งชาติฟงญา-แก๋บ่าง (Phong Nha-Ke Bang National Park) ตั้งอยู่ในจังหวัดกว๋างบิ่ญ (Quảng Bình) ทางตอนกลางของเวียดนาม เป็นอุทยานแห่งชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 2003 ด้วยความโดดเด่นด้านธรณีวิทยาและความหลากหลายทางชีวภาพ อุทยานแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 123,000 เฮกตาร์ และเป็นที่ตั้งของระบบถ้ำที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดในโลก เช่น ถ้ำเซินด่อง (Son Doong Cave) ซึ่งถือเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความยาวกว่า 9 กิโลเมตร และภายในมีป่าฝนขนาดเล็กและแม่น้ำใต้ดิน นอกจากนี้ยังมี ถ้ำฟงญา (Phong Nha Cave) และ ถ้ำเทียนเซิน (Paradise Cave) ที่มีความงดงามด้วยหินงอกหินย้อยที่ส่องแสงระยิบระยับ

.
นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับกิจกรรมหลากหลาย เช่น การล่องเรือสำรวจถ้ำฟงญา ชมความงดงามของแม่น้ำใต้ดิน การปีนเขาและเดินป่าในป่าฝนที่เต็มไปด้วยสัตว์และพืชหายาก รวมถึงการตั้งแคมป์และสำรวจธรรมชาติรอบอุทยาน อุทยานแห่งนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจการผจญภัย เช่น การปีนเขาสู่ยอดเขาหินปูนที่สูงชัน หรือการดำน้ำในถ้ำใต้ดิน บริเวณใกล้เคียงยังมีหมู่บ้านชนบทที่นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านและเพลิดเพลินกับอาหารท้องถิ่น เช่น ก๋วยเตี๋ยวฟงญา (Phong Nha Noodles) อุทยานฟงญา-แก๋บ่างจึงเป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการผสมผสานการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ การผจญภัย และการสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นในที่เดียว
.
10 ภูเขาบาน่าฮิลล์ (Ba Na Hills) เมืองดานัง (Đà Nẵng)
ภูเขาบาน่าฮิลล์ (Ba Na Hills) ตั้งอยู่ในเมืองดานัง (Da Nang) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดของเวียดนาม โดยมีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติและความงดงามทางสถาปัตยกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก บาน่าฮิลล์เคยเป็นสถานที่พักตากอากาศยอดนิยมของชาวฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม และในปัจจุบันได้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีทั้งบรรยากาศโรแมนติกและกิจกรรมหลากหลาย ไฮไลต์สำคัญคือ สะพานมือทองคำ (Golden Bridge) ที่มีลักษณะเป็นสะพานสีทองทอดยาวกลางหุบเขา โดยมีมือหินขนาดยักษ์รองรับสะพานไว้อย่างสวยงาม สะพานนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นและเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม

.
นอกจากสะพานมือทองคำแล้ว บาน่าฮิลล์ยังมีกิจกรรมและสถานที่ที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น สวนสนุก Fantasy Park ที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นหลากหลายสำหรับทุกเพศทุกวัย หมู่บ้านฝรั่งเศส (French Village) ที่จำลองบรรยากาศยุโรปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ฝรั่งเศส และสวนดอกไม้หลากสีที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและถ่ายภาพ นักท่องเที่ยวยังสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าที่มีระยะทางยาวที่สุดในโลก เพื่อชมวิวทิวทัศน์อันน่าตื่นตาของป่าเขตร้อนและหุบเขาโดยรอบ รวมถึงสัมผัสอากาศเย็นสบายตลอดปี บาน่าฮิลล์จึงเป็นจุดหมายที่ครบครันทั้งความสวยงามของธรรมชาติ ความสนุกสนาน และประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครในเวียดนาม
ทัวร์เที่ยวเวียดนาม ก็จบไปแล้วสำหรับ 10 สถานที่เที่ยวแรกเมื่อคุณคิดจะไปเยือน“เวียดนาม” เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่งดงาม เช่น อ่าวฮาลองและภูเขาซาปา วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งจากเมืองโบราณฮอยอันและเมืองเว้ รวมถึงกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ตั้งแต่การผจญภัยในอุทยานแห่งชาติฟงญา-แก๋บ่าง ไปจนถึงการสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกของสะพานมือทองคำที่บาน่าฮิลล์ ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบการเดินทางแบบธรรมชาติ วัฒนธรรม หรือผ่อนคลายริมทะเล เวียดนามมีทุกอย่างที่ตอบโจทย์นักเดินทางทุกรูปแบบ
ทัวร์เที่ยวเวียดนาม การเดินทางมาเวียดนามไม่เพียงแค่เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ยังช่วยเติมเต็มความทรงจำด้วยความงดงามและความอบอุ่นของผู้คนในท้องถิ่น หากคุณกำลังมองหาจุดหมายปลายทางที่คุ้มค่าและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ เวียดนามคือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ เตรียมกระเป๋าและออกเดินทางสู่ดินแดนแห่งความหลากหลายนี้ แล้วคุณจะพบว่าความประทับใจรอคุณอยู่ทุกมุมของประเทศ ถ้าพร้อมแล้วไปเที่ยวด้วยกันครับ

>> คู่มือนักท่องเที่ยวมือใหม่ คลิก
>>ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของเราได้ที่ช่องทางนี้ คลิก
“เรามุ่งมั่นที่จะทำทัวร์ท่องเที่ยวให้แตกต่างจากทั่วไป สถานที่ที่คุณจะได้ไปนั้นนอกจากจะได้ท่องเที่ยวพักผ่อนไปกับเราแล้วเรายังเปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้กับคุณอีกด้วย กับแผนการเดินทางที่แตกต่างและไม่จำเจเหมือนกับทั่วๆไป อีกทั้งคุณยังได้รับการดูแลและมีบริการที่แตกต่าง ให้คุณเปรียบเสมือนคนพิเศษ ให้ได้รู้สึกสัมผัสการไปเที่ยวไม่เหมือนใคร และจะประทับใจแบบไม่มีทางลืมได้เลย..” คุณสามารถติดต่อหาเราได้ตามช่องทางข้างล่างนี้เพื่อเลือกเคมเปญที่เหมาะสมที่สุดให้กับคุณ
💬 ติดต่อเราได้เลย!

Comment (0)