พระราชวังต้องห้าม | พระราชวังต้องห้าม ความลับแห่งอำนาจจักรพรรดิที่ยืนยาวผ่านกาลเวลา

พระราชวังต้องห้าม หรือ Forbidden City เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง พระราชวังแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและชิงมากว่า 500 ปี โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงามและซับซ้อน ที่สะท้อนถึงอำนาจและความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์จีน สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงพระราชวัง แต่ยังเป็นมรดกโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความลับแห่งอดีตที่รอให้คุณค้นพบ

สถานที่ตั้งของพระราชวังต้องห้าม พระราชวังต้องห้าม หรือที่รู้จักในชื่อภาษาจีนว่า 紫禁城 (Zǐjìnchéng) ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและชิง พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางของการปกครองจักรวรรดิและสะท้อนถึงอำนาจสูงสุดของจักรพรรดิ ตัวพระราชวังถูกวางตำแหน่งให้หันหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยถือว่าเป็นทิศแห่งความโชคดี ความเจริญรุ่งเรือง และเป็นทิศที่เหมาะสมสำหรับการก่อสร้างอาคารที่เป็นศูนย์กลางของอำนาจ

พระราชวังต้องห้าม
พระราชวังต้องห้าม ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน

 

ขนาดและพื้นที่ของพระราชวัง พระราชวังต้องห้ามมีเนื้อที่ประมาณ 720,000 ตารางเมตร (ประมาณ 450 ไร่) ทำให้เป็นหนึ่งในพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยตัวพระราชวังล้อมรอบด้วยกำแพงสูง 10 เมตร และคูน้ำที่กว้างถึง 52 เมตร ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นคงและปลอดภัย พระราชวังประกอบด้วยอาคารกว่า 980 หลัง และมีห้องมากกว่า 8,700 ห้อง โดยพื้นที่แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ เขตด้านหน้า (Outer Court) สำหรับการว่าราชการและจัดพิธีสำคัญ และเขตด้านใน (Inner Court) ซึ่งเป็นที่ประทับของจักรพรรดิและพระราชวงศ์

ความสำคัญของการตั้งพระราชวัง ตำแหน่งของพระราชวังต้องห้ามสะท้อนถึงความสำคัญของกรุงปักกิ่งในฐานะศูนย์กลางการปกครองของจีน การวางตัวพระราชวังให้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองยังเป็นไปตามหลักการของจักรวาลวิทยาจีน ซึ่งเชื่อว่าจักรพรรดิเป็น “โอรสแห่งสวรรค์” และควรประทับอยู่ ณ ศูนย์กลางของทุกสิ่ง ตัวพระราชวังถูกออกแบบและสร้างขึ้นอย่างประณีตเพื่อให้มีสมดุลและความสมบูรณ์แบบ ทั้งในเชิงกายภาพและสัญลักษณ์ ทำให้พระราชวังต้องห้ามกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ของอำนาจ ความมั่นคง และความรุ่งเรืองของจักรวรรดิจีนมาจนถึงปัจจุบัน

” พระราชวังต้องห้ามเริ่มการก่อสร้างในปี ค.ศ. 1406 และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1420 ดังนั้น ณ ปีปัจจุบัน ค.ศ. 2025 พระราชวังต้องห้ามมีอายุรวม 605 ปี นับตั้งแต่สร้างเสร็จ และ 619 ปี นับตั้งแต่เริ่มต้นการก่อสร้าง “

พระราชวังต้องห้าม ประวัติศาสตร์ที่ควรศึกษา

1. การก่อสร้างอันน่าทึ่ง

พระราชวังต้องห้ามนั้นเริ่มต้นการก่อสร้างในปี ค.ศ. 1406 ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง จักรพรรดิทรงมีพระประสงค์ให้สร้างพระราชวังที่สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์จีนและอำนาจอันไร้เทียมทานขององค์จักรพรรดิ เพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองของประเทศและเป็นที่ประทับของราชวงศ์ การก่อสร้างดำเนินการโดยทีมช่างฝีมือชั้นนำจากทั่วประเทศ โดยใช้วัสดุคุณภาพสูง เช่น ไม้สนจากป่าทางตะวันออกเฉียงเหนือ หินอ่อนจากเขตเฉิงเต๋อ และอิฐดินเผาเคลือบที่ผลิตจากโรงงานเฉพาะในมณฑลต่าง ๆ การเลือกใช้วัสดุเหล่านี้สะท้อนถึงความพิถีพิถันและความปราณีตของการออกแบบที่ผสมผสานหลักสถาปัตยกรรมจีนโบราณเข้ากับความเชื่อทางวัฒนธรรมและศาสนาอย่างลึกซึ้ง

พระราชวังต้องห้าม
พระราชวังต้องห้ามเริ่มต้นการก่อสร้างในปี ค.ศ. 1406

 

การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามใช้เวลานานถึง 14 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1420 มีแรงงานมากกว่า 1 ล้านคนเข้าร่วมในโครงการนี้ ซึ่งรวมถึงช่างฝีมือและแรงงานทั่วไป พระราชวังถูกวางแผนและออกแบบตามหลักฮวงจุ้ยอย่างเคร่งครัด โดยจัดวางตำแหน่งอาคารต่าง ๆ ให้สมดุลกับพลังธรรมชาติและองค์ประกอบของทิศทางที่เป็นมงคล นอกจากนี้ การออกแบบยังเน้นการสร้างความปลอดภัยและความแข็งแกร่งให้กับพระราชวัง เช่น การสร้างกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่และคูน้ำเพื่อป้องกันการโจมตี พระราชวังแห่งนี้จึงไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของราชวงศ์หมิง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเลิศในด้านสถาปัตยกรรมและการก่อสร้างของจีนในยุคนั้น

พระราชวังต้องห้าม
พระราชวังต้องห้ามใช้เวลาสร้างนานถึง 14 ปี

 

ความน่าทึ่งของงานก่อสร้างในสมัยนั้น

การก่อสร้าง พระราชวังต้องห้าม ที่ไม่มีการใช้เสาเข็มนับว่าเป็นหนึ่งในความน่าทึ่งทางวิศวกรรมของจีนโบราณ โดยพื้นที่ที่ตั้งพระราชวังนั้นเดิมเป็นบริเวณดินอ่อน การก่อสร้างบนพื้นที่เช่นนี้ตามหลักวิศวกรรมในปัจจุบันจำเป็นต้องใช้เสาเข็มเพื่อความมั่นคงของโครงสร้าง แต่ในยุคนั้น ช่างจีนได้ใช้เทคนิคดั้งเดิมที่เน้นการปรับปรุงดินและสร้างฐานรากที่แข็งแรงโดยไม่พึ่งพาเสาเข็ม

พื้นฐานของพระราชวังถูกสร้างขึ้นโดยการถมดินหลายชั้น โดยแต่ละชั้นจะถูกอัดแน่นอย่างประณีตด้วยแรงงานคนจำนวนมาก เพื่อให้ได้ชั้นดินที่มีความหนาแน่นสูงที่สุด นอกจากนี้ยังมีการวางชั้นหินรองรับบริเวณฐานรากเพื่อกระจายน้ำหนักของอาคาร ทำให้พื้นดินสามารถรับน้ำหนักของอาคารที่หนักและใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคนิคเหล่านี้แสดงถึงความรู้ลึกซึ้งในด้านการก่อสร้างของช่างจีนโบราณที่สามารถสร้างอาคารที่มั่นคงทนทานบนพื้นที่ที่ท้าทาย โดยพระราชวังต้องห้ามยังคงยืนหยัดผ่านกาลเวลาหลายร้อยปี แม้จะเผชิญภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว และพิสูจน์ถึงความชาญฉลาดในงานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของจีนในยุคนั้น

ผู้คุมงานก่อสร้าง : การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิงถูกดูแลโดย ไช่สิน (Cai Xin) ข้าราชการระดับสูงที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมโครงการก่อสร้างครั้งใหญ่ โดยได้รับมอบหมายจากจักรพรรดิให้ดูแลทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การจัดหาแรงงานและวัสดุ ไปจนถึงการตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการ การควบคุมโครงการเช่นนี้จำเป็นต้องใช้ความสามารถในการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม เพราะการก่อสร้างต้องอาศัยแรงงานมากกว่า 1 ล้านคน และมีการขนส่งวัสดุจากทั่วประเทศ ซึ่งเป็นงานที่ซับซ้อนและยากลำบากในยุคนั้น

พระราชวังต้องห้าม
ไช่สิน (Cai Xin) ข้าราชการระดับสูงควบคุมโครงการก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามนี้

 

ผู้ออกแบบพระราชวัง : ผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบพระราชวังต้องห้ามคือ กู้เตี้ยน (Kuai Xiang) สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญในยุคนั้น ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยจักรพรรดิหย่งเล่อให้เป็นผู้นำการออกแบบและวางแผนพระราชวัง กู้เตี้ยนมีความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมจีนโบราณและเขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหลักฮวงจุ้ย ซึ่งมีอิทธิพลสำคัญต่อการจัดวางพื้นที่และโครงสร้างของพระราชวัง การออกแบบพระราชวังต้องห้ามไม่เพียงแค่เน้นความงดงามทางสถาปัตยกรรม แต่ยังต้องสะท้อนถึงอำนาจและความเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ โดยอาคารต่าง ๆ ถูกวางตำแหน่งอย่างสมดุลและสอดคล้องกับหลักการฮวงจุ้ย เพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของราชวงศ์

” ทั้งไช่สินและกู้เตี้ยนต่างมีบทบาทสำคัญที่ทำให้พระราชวังต้องห้ามกลายเป็นผลงานทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ของจีนในยุคนั้น “

 

เหตุผลที่โถงด้านหน้าของพระราชวังต้องห้ามนั้นไม่มีต้นไม้เลย?
  1. สัญลักษณ์แห่งอำนาจและความยิ่งใหญ่
    โถงด้านหน้า เช่น โถงไท่เหอ (Taihe Hall) หรือโถงที่ใช้สำหรับประกอบพิธีสำคัญ ถูกออกแบบให้โล่งกว้างเพื่อเน้นถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ พื้นที่ว่างเปล่าและโล่งนี้ช่วยสร้างความรู้สึกเกรงขามแก่ผู้ที่เข้ามายังพระราชวัง และยังแสดงถึงการที่จักรพรรดิเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลที่ไม่มีสิ่งใดบดบัง
  2. การป้องกันเหตุเพลิงไหม้
    ต้นไม้ในยุคนั้นถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่ออาคารไม้ในพระราชวัง การออกแบบพื้นที่โถงด้านหน้าให้โล่งจึงช่วยลดความเสี่ยงนี้ และยังทำให้สามารถควบคุมเพลิงได้ง่ายขึ้นหากเกิดไฟไหม้ในบริเวณอื่น
  3. หลักฮวงจุ้ย
    ตามหลักฮวงจุ้ย จักรพรรดิถือเป็นศูนย์กลางแห่งพลังจักรวาล พื้นที่โถงด้านหน้าที่โล่งกว้างเปรียบเสมือน “มังกร” ที่ไม่มีสิ่งใดขวางกั้น การมีต้นไม้หรือสิ่งกีดขวางในพื้นที่สำคัญอาจถูกมองว่าเป็นการปิดกั้นพลังงานที่ดี (ชี่) ซึ่งส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิและราชวงศ์
  4. ความสะดวกในพิธีการและการควบคุมพื้นที่
    พื้นที่โล่งช่วยให้สามารถจัดพิธีสำคัญ เช่น พิธีราชาภิเษกหรือการต้อนรับคณะทูตจากต่างแดน ได้อย่างสะดวกและยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ การไม่มีต้นไม้ช่วยให้การควบคุมฝูงชนและการดูแลความปลอดภัยในพื้นที่ทำได้ง่ายขึ้น

 

” ด้วยเหตุผลเหล่านี้ การออกแบบพื้นที่โถงด้านหน้าของพระราชวังต้องห้ามจึงเน้นความโล่งกว้าง ปลอดต้นไม้ เพื่อสะท้อนถึงอำนาจ ความมั่นคง และการปฏิบัติตามหลักความเชื่อและเหตุผลด้านความปลอดภัย “

 

2. ยุคสมัยที่เป็นศูนย์กลางอำนาจ

พระราชวังต้องห้าม เริ่มต้นบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางอำนาจของจักรวรรดิจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1420 ในช่วงราชวงศ์หมิง จักรพรรดิแต่ละพระองค์ใช้พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับและศูนย์กลางการปกครอง การว่าราชการของจักรพรรดิ รวมถึงการจัดพิธีสำคัญ เช่น การขึ้นครองราชย์ งานแต่งงานของราชวงศ์ และพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ล้วนเกิดขึ้นภายในกำแพงพระราชวัง อาณาเขตของพระราชวังแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ เขตด้านหน้า (Outer Court) สำหรับว่าราชการ และเขตด้านใน (Inner Court) สำหรับการพักอาศัยของจักรพรรดิและครอบครัว สถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในพระราชวังได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อแสดงถึงอำนาจ ความมั่งคั่ง และความสูงส่งของราชวงศ์

หลังการล่มสลายของราชวงศ์หมิงในปี ค.ศ. 1644 พระราชวังต้องห้ามได้กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ชิงต่อมา จักรพรรดิราชวงศ์ชิงยังคงใช้พระราชวังแห่งนี้เป็นสถานที่ว่าราชการและจัดพิธีการสำคัญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง แม้ราชวงศ์ชิงจะเป็นชาวแมนจู แต่พวกเขายังคงรักษาและเคารพประเพณีวัฒนธรรมจีนที่เกี่ยวข้องกับพระราชวัง การปกครองจากพระราชวังต้องห้ามดำเนินมาอย่างยาวนานถึง 500 ปีจนถึงปี ค.ศ. 1912 เมื่อจักรพรรดิผู่อี๋สละราชสมบัติ ยุติระบบจักรวรรดิของจีน แม้ว่าจะไม่มีการใช้พระราชวังเป็นศูนย์กลางอำนาจอีกต่อไป แต่สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ทางการปกครองและวัฒนธรรมของจีนจนถึงปัจจุบัน

 

3. โครงสร้างและพื้นที่

พระราชวังต้องห้ามครอบคลุมพื้นที่กว่า 720,000 ตารางเมตร และถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูง 10 เมตร และคูน้ำลึก 6 เมตรที่มีความกว้างถึง 52 เมตรเพื่อป้องกันการโจมตี โครงสร้างโดยรวมของพระราชวังแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่ เขตด้านหน้า (Outer Court) และเขตด้านใน (Inner Court) เขตด้านหน้าเป็นพื้นที่สำหรับการว่าราชการและจัดพิธีสำคัญ เช่น พิธีราชาภิเษกและการต้อนรับคณะทูต ส่วนเขตด้านในเป็นที่ประทับของจักรพรรดิและครอบครัว รวมถึงพื้นที่ส่วนตัวสำหรับจัดพิธีกรรมทางศาสนาและกิจกรรมในราชสำนัก นอกจากนี้ยังมีสวนอันงดงามในเขตด้านใน เช่น สวนอวี้ฮวา (Imperial Garden) ที่เป็นสถานที่พักผ่อนของจักรพรรดิ

พระราชวังต้องห้าม
พระราชวังต้องห้ามครอบคลุมพื้นที่กว่า 720,000 ตารางเมตร

 

โครงสร้างภายในพระราชวังสะท้อนถึงความสมบูรณ์แบบในด้านสถาปัตยกรรมจีนโบราณ โดยมีอาคารกว่า 980 หลังและห้องมากกว่า 8,000 ห้อง การออกแบบเน้นความสมดุลตามหลักฮวงจุ้ยและความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น การใช้สีแดงและสีทองที่สื่อถึงความมั่งคั่งและอำนาจ นอกจากนี้ อาคารต่าง ๆ ถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบตามแกนกลางเหนือ-ใต้ โดยอาคารที่สำคัญที่สุด เช่น โถงไท่เหอ (Taihe Hall) ตั้งอยู่บนแกนนี้เพื่อแสดงถึงศูนย์กลางแห่งพลังและอำนาจของจักรพรรดิ การวางแผนและการก่อสร้างทั้งหมดสะท้อนถึงความรู้และทักษะทางวิศวกรรมของช่างจีนในยุคนั้น ซึ่งสามารถสร้างโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงทนทานต่อกาลเวลา

 

4. ความสำคัญในฐานะศูนย์กลางการปกครอง

พระราชวังต้องห้ามถือเป็นหัวใจสำคัญของการปกครองจักรวรรดิจีนมานานกว่า 500 ปี ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงถึงราชวงศ์ชิง โถงด้านหน้า เช่น โถงไท่เหอ (Taihe Hall) โถงจงเหอ (Zhonghe Hall) และโถงเป่าเหอ (Baohe Hall) ถูกใช้เป็นสถานที่จัดพิธีสำคัญ เช่น การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิ การประชุมขุนนางระดับสูง และการจัดงานเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญ เช่น เทศกาลตรุษจีนและวันเกิดจักรพรรดิ โถงเหล่านี้สะท้อนถึงความเป็นศูนย์กลางของอำนาจและบทบาทที่สำคัญในเชิงสัญลักษณ์ของพระราชวังต้องห้าม การวางตำแหน่งอาคารและการตกแต่งภายในยังออกแบบมาเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิและความเคารพต่อองค์จักรพรรดิ ซึ่งถือว่าเป็น “โอรสแห่งสวรรค์” ผู้ปกครองทั้งแผ่นดิน

นอกจากพิธีกรรมและการว่าราชการ พระราชวังต้องห้ามยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการบริหารราชการแผ่นดิน คำสั่งต่าง ๆ ของจักรพรรดิซึ่งเรียกว่า “ราชโองการ” ถูกประกาศจากพระราชวังแห่งนี้ไปยังทุกมุมของจักรวรรดิ พระราชวังยังเป็นสถานที่รวบรวมขุนนาง ข้าราชการ และบุคคลสำคัญจากทั่วประเทศเพื่อเข้าร่วมประชุมและรายงานความคืบหน้าของการปกครองในแต่ละภูมิภาค ด้วยบทบาทที่เป็นศูนย์กลางทั้งด้านพิธีกรรมและการบริหาร พระราชวังต้องห้ามจึงเปรียบเสมือนหัวใจของระบบราชการจีนในยุคนั้น และยังคงแสดงถึงความเป็นศูนย์กลางแห่งพลังอำนาจของราชวงศ์จีนมาจนถึงปัจจุบัน

 

5. การสิ้นสุดการใช้งานเป็นพระราชวังหลวง

พระราชวังต้องห้ามเริ่มเข้าสู่ช่วงสิ้นสุดการใช้งานในฐานะพระราชวังหลวงเมื่อจักรพรรดิผู่อี๋ (Puyi) ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนจากราชวงศ์ชิง ทรงสละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1912 เหตุการณ์นี้เป็นผลจากการปฏิวัติซินไฮ่ (Xinhai Revolution) ซึ่งนำโดยกลุ่มปฏิวัติที่มีเป้าหมายในการล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเปลี่ยนผ่านสู่การปกครองระบอบสาธารณรัฐ แม้ว่าราชวงศ์จะสิ้นสุดลง แต่ภายใต้ข้อตกลงกับรัฐบาลสาธารณรัฐ จักรพรรดิผู่อี๋และครอบครัวยังคงได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในเขตด้านในของพระราชวังต้องห้ามต่อไป

สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี ค.ศ. 1924 เมื่อผู่อี๋ถูกขับออกจากพระราชวังโดยขุนศึกเฟิงอวี้เสียง (Feng Yuxiang) ซึ่งเป็นผู้นำการรัฐประหารในช่วงที่ประเทศจีนตกอยู่ในสภาวะสงครามกลางเมือง หลังจากจักรพรรดิถูกขับออก พระราชวังต้องห้ามถูกเปลี่ยนสถานะจากที่ประทับของจักรพรรดิกลายเป็นทรัพย์สินของรัฐ ต่อมาในปี ค.ศ. 1925 พระราชวังต้องห้ามได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวัง (The Palace Museum) เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมสมบัติของราชวงศ์และเรียนรู้ประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน

พระราชวังต้องห้าม
พระราชวังต้องห้ามถูกเปลี่ยนสถานะจากที่ประทับของจักรพรรดิกลายเป็นทรัพย์สินของรัฐหลังการปฎิวัติ

 

ในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่น (ค.ศ. 1937-1945) และสงครามโลกครั้งที่สอง สมบัติล้ำค่าจำนวนมากในพระราชวังต้องห้ามถูกเคลื่อนย้ายไปยังที่ปลอดภัยในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อป้องกันการถูกปล้นหรือทำลาย หลังสงครามสิ้นสุดลง พระราชวังต้องห้ามได้รับการบูรณะครั้งใหญ่และกลับมาเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง ปัจจุบัน พระราชวังต้องห้ามไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้มาเยือนจากทั่วโลก แต่ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งประวัติศาสตร์ ความรุ่งเรือง และการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองที่สำคัญของจีน

พระราชวังต้องห้าม
หลังสงครามสิ้นสุดลง พระราชวังต้องห้ามได้รับการบูรณะครั้งใหญ่และกลับมาเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์อีกครั้ง

 

 

6. การเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน

หลังการสิ้นสุดการใช้งานเป็นพระราชวังหลวง พระราชวังต้องห้ามได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวัง (The Palace Museum) ในปี ค.ศ. 1925 โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เยี่ยมชมสมบัติของราชวงศ์จีน รวมถึงเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของจักรวรรดิจีน พื้นที่และอาคารต่าง ๆ ภายในพระราชวังต้องห้ามได้รับการบูรณะและดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อคงไว้ซึ่งความงดงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1987 พระราชวังต้องห้ามได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ซึ่งยืนยันถึงความสำคัญในฐานะสัญลักษณ์ของความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมจีน

พระราชวังต้องห้าม
ในปี ค.ศ. 1925 โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เยี่ยมชมสมบัติของราชวงศ์จีน

 

ในยุคปัจจุบัน พระราชวังต้องห้ามไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการจัดนิทรรศการและกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น การแสดงสมบัติโบราณ การจัดกิจกรรมศิลปะ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระดับนานาชาติ พระราชวังยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์จีนให้แก่ชาวจีนรุ่นใหม่ ด้วยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการอนุรักษ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้ระบบดิจิทัลเพื่อเก็บข้อมูลและฟื้นฟูอาคารต่าง ๆ และการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับการท่องเที่ยวแบบเสมือนจริง (Virtual Tour) ทำให้พระราชวังต้องห้ามยังคงเป็นสมบัติที่มีชีวิตและส่งต่อคุณค่าให้กับคนรุ่นต่อไป

7. ความสำคัญทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

ความสำคัญทางวัฒนธรรมของพระราชวังต้องห้าม พระราชวังต้องห้ามเป็นศูนย์รวมของมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของจักรวรรดิจีนและความล้ำลึกในด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ทุกอาคารและรายละเอียดการตกแต่งในพระราชวังล้วนมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น การใช้สีแดงที่สื่อถึงความโชคดีและความเป็นมงคล หรือการใช้สีทองที่แสดงถึงความมั่งคั่งและอำนาจของจักรพรรดิ นอกจากนี้ การออกแบบพระราชวังตามหลักฮวงจุ้ยยังสะท้อนถึงปรัชญาความเชื่อและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ พระราชวังต้องห้ามจึงไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ที่เก็บรักษามรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่และภูมิปัญญาของชนชาติจีน

บทบาทด้านการท่องเที่ยว ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก พระราชวังต้องห้ามดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกว่า 10 ล้านคนต่อปี ความงดงามของพระราชวังและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ การจัดแสดงนิทรรศการที่แสดงสมบัติโบราณ เช่น เครื่องราชกกุธภัณฑ์ ภาพวาด ศิลปวัตถุ และเครื่องประดับของราชวงศ์ ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับเรื่องราวในอดีต นอกจากนี้ พระราชวังยังมีบทบาทในการส่งเสริมวัฒนธรรมจีนผ่านการจัดกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมและศิลปะ เช่น การแสดงดนตรีโบราณและการแสดงศิลปะภาพเขียนสไตล์จีน พระราชวังต้องห้ามจึงเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและสะพานที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมจีนกับประชาคมโลก

 

สรุป พระราชวังต้องห้าม หรือ Forbidden City สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1406 ในรัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1420 ใช้เป็นที่ประทับและศูนย์กลางการปกครองของจักรพรรดิราชวงศ์หมิงและชิง รวมกว่า 500 ปี โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงามและการออกแบบตามหลักฮวงจุ้ย ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร มีอาคารกว่า 980 หลัง พระราชวังนี้สิ้นสุดบทบาทในฐานะศูนย์กลางอำนาจเมื่อจักรพรรดิผู่อี๋สละราชสมบัติในปี ค.ศ. 1912 ต่อมาเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวังในปี ค.ศ. 1925 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987 ปัจจุบันเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและศูนย์กลางการอนุรักษ์วัฒนธรรมจีน “

 

พระราชวังต้องห้าม กับส่วนต่าง ๆ ของพระราชวังต้องห้ามและความสำคัญ

1. เขตด้านหน้า (Outer Court) | ศูนย์กลางการว่าราชการและพิธีสำคัญของจักรวรรดิ

เขตด้านหน้า (Outer Court) ของพระราชวังต้องห้ามถือเป็นพื้นที่สำคัญที่สะท้อนถึงอำนาจของจักรพรรดิและความเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของจักรวรรดิจีน พื้นที่นี้ตั้งอยู่ด้านหน้าของพระราชวังและครอบคลุมบริเวณที่มีความกว้างใหญ่ โดยมีโถงหลักสามแห่ง ได้แก่ โถงไท่เหอ (Hall of Supreme Harmony) โถงจงเหอ (Hall of Central Harmony) และโถงเป่าเหอ (Hall of Preserving Harmony) ซึ่งเรียงกันบนแกนกลางเหนือ-ใต้ เขตด้านหน้าถูกใช้เป็นสถานที่จัดพิธีสำคัญ เช่น การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิ การประชุมขุนนาง และพิธีเฉลิมฉลองวันสำคัญของราชวงศ์ ความโล่งกว้างของพื้นที่นี้ช่วยสร้างบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่และสะท้อนถึงอำนาจอันไร้เทียมทานของจักรพรรดิ

พระราชวังต้องห้าม
Outer Court

 

โถงไท่เหอ ซึ่งเป็นโถงที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ตั้งอยู่บนฐานหินอ่อนสูงสามชั้น และล้อมรอบด้วยราวระเบียงแกะสลักลายมังกรอันวิจิตรงดงาม พื้นที่โถงนี้ถูกใช้สำหรับพิธีที่มีความสำคัญระดับชาติ เช่น พิธีราชาภิเษก การต้อนรับทูตจากต่างประเทศ และการเฉลิมฉลองวันตรุษจีน โถงจงเหอและโถงเป่าเหอซึ่งอยู่ด้านหลังโถงไท่เหอ ทำหน้าที่สนับสนุนการจัดพิธี โดยโถงจงเหอใช้เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิทรงพักผ่อนและเตรียมพระองค์ก่อนเข้าร่วมพิธี ขณะที่โถงเป่าเหอถูกใช้สำหรับการจัดงานเลี้ยงและพิธีกรรมบางประการ

พื้นที่เขตด้านหน้ายังมีความสำคัญในเชิงการแสดงอำนาจและการควบคุม ภายในบริเวณมีลานกว้างขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับขุนนางและเจ้าหน้าที่จำนวนมากในระหว่างพิธีการ นอกจากนี้ การไม่มีต้นไม้หรือสิ่งกีดขวางในพื้นที่นี้ยังช่วยเน้นความโล่งและความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ ตลอดจนเสริมสร้างบรรยากาศที่เคร่งขรึมและเกรงขาม เขตด้านหน้าของพระราชวังต้องห้ามจึงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจและความรุ่งเรืองของจักรวรรดิจีนในยุคโบราณ

 

2. เขตด้านใน (Inner Court) | ที่ประทับส่วนพระองค์และศูนย์รวมชีวิตส่วนตัวของราชวงศ์

เขตด้านใน (Inner Court) ของพระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่หลังเขตด้านหน้า โดยมีบทบาทสำคัญในฐานะที่ประทับของจักรพรรดิและพระราชวงศ์ รวมถึงสถานที่สำหรับดำเนินชีวิตส่วนตัวของจักรพรรดิ ครอบครัว และนางใน ภายในเขตด้านในนี้ยังมีพระตำหนักสำคัญหลายแห่งที่สะท้อนถึงบทบาทและความเป็นส่วนตัวของพื้นที่ เช่น พระตำหนักเฉียนชิง (Palace of Heavenly Purity) พระตำหนักคุนหนิง (Palace of Earthly Tranquility) และพระตำหนักเจียวถาย (Hall of Union) ที่ประทับของจักรพรรดิและจักรพรรดินี พื้นที่นี้ยังถือเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจในเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากการตัดสินใจสำคัญหลายอย่างเกี่ยวกับการปกครองประเทศเกิดขึ้นในส่วนนี้ของพระราชวัง

พระราชวังต้องห้าม
Inner Court

 

พระตำหนักเฉียนชิง เป็นพระตำหนักหลักของจักรพรรดิในเขตด้านใน ตั้งอยู่บนแกนกลางเหนือ-ใต้ เป็นสถานที่สำหรับว่าราชการในบางโอกาส รวมถึงสถานที่พักผ่อนส่วนพระองค์ การตกแต่งภายในพระตำหนักสะท้อนถึงความโอ่อ่าของจักรพรรดิ โดยมีบัลลังก์แกะสลักอย่างวิจิตร พร้อมทั้งวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่สื่อถึงอำนาจและความมั่งคั่ง ส่วนพระตำหนักคุนหนิง ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังพระตำหนักเฉียนชิง ถูกใช้เป็นที่พำนักของจักรพรรดินี โดยตกแต่งในลักษณะที่เน้นความสงบและความเป็นสิริมงคล เพื่อเสริมพลังงานในด้านความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์

พื้นที่เขตด้านในยังรวมถึงสถานที่สำหรับทำกิจกรรมส่วนตัวและประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น สวนอวี้ฮวา (Imperial Garden) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ด้านหลังสุดของพระราชวัง สวนนี้ถูกออกแบบให้เป็นสถานที่พักผ่อนและฟื้นฟูพลังของจักรพรรดิและราชวงศ์ โดยมีการจัดวางต้นไม้ ดอกไม้ ศาลา และทางเดินอย่างประณีต สวนนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความงดงามของธรรมชาติ แต่ยังสะท้อนถึงปรัชญาความสมดุลและความสงบในวัฒนธรรมจีน

นอกจากนี้ เขตด้านในยังเป็นที่ตั้งของอาคารสำหรับเจ้าหน้าที่และนางในที่ทำงานใกล้ชิดกับจักรพรรดิ รวมถึงสถานที่สำหรับจัดเก็บสมบัติของราชวงศ์ เช่น งานศิลปะ เครื่องประดับ และของมีค่าอื่น ๆ ความเป็นส่วนตัวและความลึกลับของเขตด้านในทำให้พื้นที่นี้มีความสำคัญไม่เพียงแต่ในแง่การใช้ชีวิตของจักรพรรดิและครอบครัว แต่ยังเป็นศูนย์รวมความมั่งคั่งและความรุ่งเรืองของราชวงศ์ ซึ่งแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิจีนในยุคโบราณ

 

3. โถงไท่เหอ (Hall of Supreme Harmony) | สัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดของจักรพรรดิ

โถงไท่เหอ (Taihe Hall) หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า 太和殿 (ไท่เหอตี้) เป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ตั้งอยู่บนแกนกลางของเขตด้านหน้า (Outer Court) โถงนี้ถือเป็นหัวใจของพระราชวังในเชิงพิธีกรรมและเป็นสถานที่ที่แสดงถึงอำนาจสูงสุดของจักรพรรดิ ตัวโถงถูกสร้างขึ้นบนฐานหินอ่อนสามชั้น มีขนาดความกว้างประมาณ 64 เมตร ความยาว 37 เมตร และความสูงรวมฐานประมาณ 35 เมตร หลังคาสีทองและการตกแต่งด้วยลวดลายมังกรสะท้อนถึงสถานะของจักรพรรดิในฐานะ “โอรสแห่งสวรรค์”

พระราชวังต้องห้าม
Hall of Supreme Harmony

 

โถงไท่เหอถูกใช้เป็นสถานที่จัดพิธีสำคัญระดับชาติ เช่น พิธีราชาภิเษก การแต่งตั้งขุนนางระดับสูง การเฉลิมฉลองปีใหม่ และพิธีกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปกครองและวัฒนธรรม โถงนี้ยังเป็นสถานที่ต้อนรับคณะทูตจากต่างประเทศ ซึ่งแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิจีนในสายตาของโลกภายนอก บัลลังก์จักรพรรดิในโถงไท่เหอ ตั้งอยู่บนแท่นยกสูงกลางห้อง ล้อมรอบด้วยมังกรทองแกะสลักอย่างวิจิตร และตกแต่งด้วยวัตถุมงคล เช่น โคมไฟหยกและพัดลมทองคำ เพื่อสื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นนิรันดร์

ตัวโถงไท่เหอถูกออกแบบตามหลักฮวงจุ้ย โดยตั้งอยู่บนแกนกลางของพระราชวังและเผชิญหน้าทิศใต้ ซึ่งถือเป็นทิศแห่งความโชคดีในวัฒนธรรมจีน โครงสร้างของโถงเน้นการสร้างความสมดุลและการกระจายน้ำหนักอย่างชาญฉลาดเพื่อความมั่นคง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว นอกจากนี้ พื้นที่โล่งกว้างหน้าตัวโถงยังช่วยเสริมบรรยากาศแห่งความสง่างามและสร้างความเกรงขามแก่ผู้ที่เข้ามาในบริเวณนี้

โถงไท่เหอไม่ได้เป็นเพียงสถานที่จัดพิธี แต่ยังสะท้อนถึงแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สวรรค์ และโลก ตัวอาคารและการตกแต่งทั้งหมดถูกออกแบบมาเพื่อเน้นถึงสถานะพิเศษของจักรพรรดิในฐานะผู้เชื่อมโยงระหว่างสวรรค์และประชาชนบนโลก ความสำคัญของโถงไท่เหอจึงไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำคัญในเชิงกายภาพ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงและความรุ่งเรืองของจักรวรรดิจีนที่ยังคงได้รับการชื่นชมจนถึงปัจจุบัน

 

4. โถงจงเหอ (Hall of Central Harmony) | สถานที่พักเตรียมพระองค์ของจักรพรรดิก่อนพิธีสำคัญ

โถงจงเหอ (Zhonghe Hall) หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า 中和殿 ตั้งอยู่ระหว่างโถงไท่เหอ (Hall of Supreme Harmony) และโถงเป่าเหอ (Hall of Preserving Harmony) บนแกนกลางของพระราชวังต้องห้าม อาคารนี้เป็นโถงขนาดเล็กเมื่อเทียบกับโถงไท่เหอ มีรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสที่มีด้านกว้างประมาณ 25 เมตร และหลังคาทรงพีระมิดสองชั้นที่ประดับด้วยกระเบื้องสีทอง โถงนี้เป็นสถานที่สำหรับจักรพรรดิพักผ่อนและเตรียมพระองค์ก่อนเข้าร่วมพิธีสำคัญต่าง ๆ

โถงจงเหอมีความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์และการใช้งาน ในฐานะที่เป็นสถานที่สำหรับพักเตรียมพระองค์ จักรพรรดิจะทรงใช้โถงนี้ในการทบทวนพระราชพิธีและตรวจสอบรายละเอียดของพิธีก่อนเสด็จไปยังโถงไท่เหอหรือโถงเป่าเหอ การที่จักรพรรดิทรงใช้เวลาที่นี่ก่อนพิธีถือเป็นการแสดงถึงการเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ “โอรสแห่งสวรรค์” ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเชิงพิธีกรรมและความศักดิ์สิทธิ์

พระราชวังต้องห้าม
Hall of Central Harmony

 

ในเชิงวัฒนธรรม โถงจงเหอแสดงถึงแนวคิดเกี่ยวกับความสมดุล (Harmony) และความกลมกลืนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ การตั้งชื่อ “จงเหอ” ซึ่งแปลว่า “ความสมดุลอันยิ่งใหญ่” สื่อถึงความสำคัญของการดำรงความสมดุลในจักรวาล แนวคิดนี้สะท้อนถึงปรัชญาขงจื๊อและหลักฮวงจุ้ยที่เป็นหัวใจของการออกแบบพระราชวัง โถงนี้ยังถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมเล็ก ๆ เช่น การบูชาวัตถุมงคลที่ใช้ในพระราชพิธี

การตกแต่งภายในโถงจงเหอสะท้อนถึงความสง่างามและความเรียบง่าย โดยมีบัลลังก์จักรพรรดิขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยเครื่องประดับมงคลและลวดลายแกะสลักที่แสดงถึงความมั่งคั่ง แม้ว่าโถงนี้จะมีขนาดเล็กกว่าโถงอื่น ๆ ในพระราชวัง แต่บทบาทในฐานะสถานที่สำหรับพักผ่อนและเตรียมความพร้อมของจักรพรรดิทำให้โถงจงเหอเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในพระราชพิธีที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิจีน

 

5. โถงเป่าเหอ (Hall of Preserving Harmony) | ศูนย์กลางแห่งการเฉลิมฉลองและพิธีกรรม

โถงเป่าเหอ (Baohe Hall) หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า 保和殿 ตั้งอยู่ทางด้านหลังของโถงไท่เหอและโถงจงเหอ บนแกนกลางของพระราชวังต้องห้าม โถงนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามในเขตด้านหน้า (Outer Court) ของพระราชวัง ด้วยความกว้างประมาณ 35 เมตรและความยาว 25 เมตร โถงนี้มีหลังคาแบบชั้นเดียวที่ประดับด้วยกระเบื้องสีทอง อันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจจักรพรรดิ โถงเป่าเหอถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงราชวงศ์และพิธีกรรมสำคัญบางประการ รวมถึงการตรวจสอบคำสั่งและข้อสอบในการคัดเลือกขุนนาง

พระราชวังต้องห้าม
Hall of Preserving Harmony

 

หนึ่งในบทบาทสำคัญของโถงเป่าเหอคือการใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง เช่น งานเลี้ยงในช่วงเทศกาลตรุษจีน และงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจากต่างประเทศ บรรยากาศในโถงเป่าเหอถูกออกแบบให้มีความโอ่อ่าและสง่างาม โดยมีบัลลังก์จักรพรรดิขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางโถง รายล้อมด้วยเครื่องประดับทองคำและลวดลายมังกรแกะสลักอันวิจิตร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความศักดิ์สิทธิ์ การตกแต่งภายในยังแสดงถึงศิลปวัฒนธรรมและความประณีตของราชวงศ์จีน

นอกจากนี้ โถงเป่าเหอยังถูกใช้สำหรับพิธีกรรมสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง เช่น การตรวจสอบข้อสอบของระบบการสอบเคอจวี่ (Imperial Examination) ซึ่งเป็นการคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถเข้ารับราชการ ระบบการสอบนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบราชการของจีน และโถงเป่าเหอถือเป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงความโปร่งใสและความเป็นธรรมในการเลือกขุนนาง

การออกแบบโถงเป่าเหอยังสอดคล้องกับหลักฮวงจุ้ย โดยมีตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในแกนกลางของพระราชวัง เพื่อแสดงถึงความสมดุลและความมั่นคงในการปกครอง พื้นที่โล่งด้านหน้าโถงช่วยเสริมความรู้สึกโอ่อ่าและสร้างความเกรงขามแก่ผู้ที่เข้าร่วมพิธี โถงเป่าเหอจึงเป็นสถานที่ที่ไม่เพียงแต่แสดงถึงความรุ่งเรืองของราชวงศ์จีน แต่ยังสะท้อนถึงความสำคัญของการเฉลิมฉลองและพิธีกรรมที่เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับจักรวรรดิในยุคโบราณ

 

6. พระตำหนักเฉียนชิง (Palace of Heavenly Purity) | ศูนย์กลางแห่งอำนาจและชีวิตส่วนตัวของจักรพรรดิ

พระตำหนักเฉียนชิง (Qianqing Gong) หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า 乾清宫 เป็นพระตำหนักสำคัญในเขตด้านใน (Inner Court) ของพระราชวังต้องห้าม ตั้งอยู่บนแกนกลางของพระราชวังถัดจากโถงเป่าเหอ ถือเป็นพระตำหนักส่วนพระองค์ที่จักรพรรดิใช้เป็นที่ประทับหลัก รวมถึงเป็นสถานที่สำหรับว่าราชการในบางโอกาส ตัวพระตำหนักตั้งอยู่บนฐานหินอ่อนสูงและล้อมรอบด้วยกำแพงแกะสลักลวดลายอันวิจิตร ขนาดของตำหนักมีความกว้างประมาณ 27 เมตร ความยาว 20 เมตร และความสูงประมาณ 20 เมตร

พระราชวังต้องห้าม
Palace of Heavenly Purity

 

ความสำคัญในฐานะพระตำหนักส่วนพระองค์ พระตำหนักเฉียนชิงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของชีวิตส่วนตัวของจักรพรรดิ ทั้งในด้านการพักผ่อน การรับรองเจ้าหน้าที่ระดับสูงในโอกาสส่วนตัว และการบริหารราชกิจที่ไม่เป็นทางการ ความสำคัญของพระตำหนักนี้สะท้อนถึงแนวคิดที่ว่าจักรพรรดิเป็น “โอรสแห่งสวรรค์” ซึ่งต้องรักษาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและบทบาทในฐานะผู้นำสูงสุด ตัวตำหนักได้รับการออกแบบให้สะท้อนถึงพลังอำนาจและความสง่างาม โดยตกแต่งด้วยบัลลังก์ทองคำที่ประดับลวดลายมังกร เครื่องประดับทองคำ และงานแกะสลักไม้ที่ประณีต

การใช้งานในพระราชพิธีและกิจกรรมส่วนตัว นอกจากเป็นที่พักผ่อนส่วนพระองค์ พระตำหนักเฉียนชิงยังใช้สำหรับการประกอบพระราชพิธีบางประการ เช่น การรับรองขุนนางในโอกาสพิเศษ หรือการจัดงานเลี้ยงสำหรับพระราชวงศ์ในวงจำกัด การออกแบบภายในตำหนักเน้นความโอ่อ่าและความสง่างาม โดยมีการตกแต่งด้วยเครื่องเรือนล้ำค่าและศิลปวัตถุที่สะท้อนถึงรสนิยมและสถานะของจักรพรรดิ พระตำหนักนี้ยังมีบทบาทสำคัญในด้านจิตวิญญาณ เนื่องจากถือเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิทรงสวดมนต์และทำสมาธิเพื่อเชื่อมโยงกับพลังแห่งสวรรค์

ความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ พระตำหนักเฉียนชิงแสดงถึงแนวคิดเรื่อง “ความบริสุทธิ์แห่งฟ้า” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ “เฉียนชิง” ที่สื่อถึงความสมดุลและพลังอันสูงส่งของจักรพรรดิในฐานะผู้ปกครองแห่งจักรวรรดิ ตัวอาคารตั้งอยู่ในจุดที่สะท้อนถึงความสมดุลในหลักฮวงจุ้ย โดยตำแหน่งของพระตำหนักทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเขตด้านหน้าและเขตด้านในของพระราชวัง การออกแบบนี้สะท้อนถึงปรัชญาที่ว่าผู้นำต้องสมดุลระหว่างบทบาทสาธารณะและส่วนตัว พระตำหนักเฉียนชิงจึงเป็นทั้งที่ประทับส่วนพระองค์และสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบในจักรวรรดิจีน

 

7. พระตำหนักคุนหนิง (Palace of Earthly Tranquility) | ศูนย์กลางแห่งความสงบและบทบาทของจักรพรรดินี

พระตำหนักคุนหนิง (Kun Ning Gong) หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า 坤宁宫 เป็นพระตำหนักสำคัญในเขตด้านใน (Inner Court) ของพระราชวังต้องห้าม ตั้งอยู่ถัดจากพระตำหนักเฉียนชิงบนแกนกลางของพระราชวัง ตัวตำหนักมีขนาดเล็กกว่าพระตำหนักเฉียนชิง โดยมีความกว้างประมาณ 20 เมตร และความยาวประมาณ 15 เมตร ตำหนักนี้เป็นที่พักส่วนตัวของจักรพรรดินี ซึ่งมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและความเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบสุขและความสมดุลในราชวงศ์

พระราชวังต้องห้าม
Palace of Earthly Tranquility

 

ความสำคัญในฐานะที่พักของจักรพรรดินี พระตำหนักคุนหนิงได้รับการออกแบบและตกแต่งให้เหมาะสมกับจักรพรรดินีในฐานะสตรีสูงสุดแห่งราชวงศ์ ภายในพระตำหนักมีห้องพักและพื้นที่ส่วนตัวที่สะท้อนถึงความสง่างามและความสำคัญของจักรพรรดินี การตกแต่งเน้นการใช้สีและลวดลายที่เป็นมงคล เช่น สีแดงและลวดลายดอกโบตั๋น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความงดงาม ตำหนักนี้ยังเป็นที่ที่จักรพรรดินีปฏิบัติภารกิจในฐานะสตรีผู้ดูแลครอบครัวจักรวรรดิ และมีบทบาทในการรักษาความสัมพันธ์ภายในราชสำนัก

บทบาทในพิธีกรรมและความเชื่อทางศาสนา พระตำหนักคุนหนิงไม่ได้เป็นเพียงที่พักส่วนตัวของจักรพรรดินี แต่ยังใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับความเป็นสิริมงคลของราชวงศ์ เช่น พิธีแต่งงานของจักรพรรดิและจักรพรรดินีบางพระองค์ถูกจัดขึ้นที่นี่ เนื่องจากตำหนักนี้สื่อถึงความสงบสุขและความมั่นคงในชีวิตคู่ นอกจากนี้ พระตำหนักยังถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับสวดมนต์และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบางโอกาส

ความสำคัญเชิงสัญลักษณ์และหลักฮวงจุ้ย ในเชิงสัญลักษณ์ พระตำหนักคุนหนิงสะท้อนถึง “พลังหยิน” ซึ่งเป็นพลังแห่งความสงบและความอ่อนโยนที่สมดุลกับ “พลังหยาง” ของพระตำหนักเฉียนชิง หลักฮวงจุ้ยถูกนำมาใช้ในการวางตำแหน่งของพระตำหนักทั้งสองเพื่อแสดงถึงความสมดุลระหว่างพลังของจักรพรรดิและจักรพรรดินี ตำแหน่งของพระตำหนักคุนหนิงที่อยู่ด้านหลังเฉียนชิงยังแสดงถึงบทบาทสนับสนุนของจักรพรรดินีในฐานะผู้ช่วยสำคัญของจักรพรรดิ พระตำหนักนี้จึงมีความสำคัญไม่เพียงในแง่ของชีวิตส่วนตัวของจักรพรรดินี แต่ยังเป็นศูนย์รวมแห่งความสงบสุขและความสมดุลในระบบราชวงศ์

 

8. สวนอวี้ฮวา (Imperial Garden) | ความสงบสุขในเขตพระราชฐาน

สวนอวี้ฮวา (Yu Hua Yuan) หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า 御花园 ตั้งอยู่ในเขตด้านใน (Inner Court) ทางตอนเหนือสุดของพระราชวังต้องห้าม ถือเป็นสวนส่วนตัวของจักรพรรดิและพระราชวงศ์ที่สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อนและเป็นสถานที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในครอบครัวราชวงศ์ ตัวสวนครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 12,000 ตารางเมตร โดยมีการจัดวางองค์ประกอบที่สมดุลและสวยงามตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อให้เกิดความสงบสุขและความร่มรื่น

ความสำคัญในฐานะสถานที่พักผ่อน สวนอวี้ฮวาถูกออกแบบให้เป็นสถานที่สำหรับจักรพรรดิและพระราชวงศ์ได้พักผ่อนจากกิจวัตรประจำวันและภาระหน้าที่ในราชสำนัก ภายในสวนมีการจัดวางต้นไม้ ดอกไม้ และพืชพันธุ์ต่าง ๆ อย่างประณีต รวมถึงศาลา ศิลาสลัก และสะพานเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมความงดงามของพื้นที่ จักรพรรดิและพระราชวงศ์มักใช้สวนนี้เป็นที่สำหรับเดินเล่น พักผ่อน อ่านหนังสือ หรือสนทนาในบรรยากาศที่เงียบสงบ

พระราชวังต้องห้าม
Imperial Garden

 

การใช้งานในเชิงพิธีกรรมและวัฒนธรรม นอกเหนือจากการเป็นสถานที่พักผ่อน สวนอวี้ฮวายังมีบทบาทสำคัญในเชิงพิธีกรรมและวัฒนธรรม เช่น การจัดพิธีบูชาเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลาและแท่นบูชาภายในสวน รวมถึงการจัดงานเฉลิมฉลองในวาระพิเศษบางประการ ศาลาภายในสวน เช่น ศาลาหลงจง (Pavilion of Myriad Springs) ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และมีบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะสำหรับการทำสมาธิและประกอบพิธีกรรม

การออกแบบและความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ สวนอวี้ฮวาถูกออกแบบให้สะท้อนถึงแนวคิดเรื่องความสมดุลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ตามปรัชญาขงจื๊อและหลักฮวงจุ้ย การจัดวางสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ และแหล่งน้ำในสวนถูกคำนึงถึงอย่างละเอียดเพื่อสร้างความสมดุลของพลังงาน (ชี่) ในพื้นที่ นอกจากนี้ สวนยังเป็นตัวแทนของ “สวรรค์บนดิน” ซึ่งสะท้อนถึงความปรารถนาของจักรพรรดิในการเชื่อมโยงอาณาจักรกับสวรรค์ สวนอวี้ฮวาจึงไม่เพียงเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อน แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบสุข ความสมดุล และความมั่งคั่งของราชวงศ์จีนที่ยังคงคุณค่ามาจนถึงปัจจุบัน

 

9. กำแพงและประตูพระราชวัง | ป้อมปราการและจุดควบคุมแห่งความปลอดภัย

กำแพงและประตูของพระราชวังต้องห้ามเป็นส่วนสำคัญของระบบการป้องกันและควบคุมในพระราชวัง โดยกำแพงพระราชวังมีความสูงประมาณ 10 เมตร และยาวประมาณ 3.4 กิโลเมตร ล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดของพระราชวังที่ครอบคลุมกว่า 720,000 ตารางเมตร กำแพงถูกสร้างขึ้นจากอิฐดินเผาและปูนที่มีความแข็งแรงสูง เพื่อให้สามารถต้านทานการโจมตีจากภายนอกได้ และยังถูกออกแบบตามหลักฮวงจุ้ยเพื่อปกป้องพลังงานและความสมดุลของพื้นที่ภายในพระราชวัง

บทบาทในการป้องกัน กำแพงพระราชวังทำหน้าที่เป็นชั้นป้องกันแรกสุดของพระราชวังต้องห้าม ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการโจมตีจากศัตรูภายนอก แต่ยังมีบทบาทในการรักษาความปลอดภัยจากภัยภายใน เช่น การป้องกันไฟไหม้และการควบคุมการเข้าถึงพื้นที่สำคัญ กำแพงยังมีกำแพงชั้นในและหอคอยที่มุมทั้งสี่ ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและความสามารถในการตรวจตรา โดยแต่ละมุมมองเห็นพื้นที่โดยรอบได้อย่างชัดเจน ทำให้การป้องกันครอบคลุมทั้งพระราชวัง

พระราชวังต้องห้าม
กำแพงและประตูพระราชวัง

 

ความสำคัญของประตูพระราชวัง พระราชวังต้องห้ามมีประตูสำคัญทั้งหมด 4 ประตู ได้แก่ ประตูด้านใต้ (ประตูอู่เหมิน หรือ Meridian Gate) ซึ่งเป็นประตูหลักของพระราชวัง ประตูด้านเหนือ (Shenwu Gate) และประตูด้านตะวันออกและตะวันตก ประตูเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงทางเข้าออก แต่ยังทำหน้าที่ควบคุมการเข้าถึงของผู้คน โดยเฉพาะในประตูหลักอย่างประตูอู่เหมิน ซึ่งจักรพรรดิใช้สำหรับเดินทางออกไปร่วมพิธีสำคัญ และใช้เป็นจุดต้อนรับคณะทูตจากต่างแดน

ความหมายเชิงสัญลักษณ์ กำแพงและประตูของพระราชวังต้องห้ามมีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงอำนาจและความมั่นคงของราชวงศ์จีน กำแพงที่ล้อมรอบพระราชวังเปรียบเสมือนเกราะป้องกันจักรพรรดิในฐานะศูนย์กลางของจักรวาล ขณะที่ประตูแต่ละประตูสะท้อนถึงลำดับขั้นของการเข้าถึงอำนาจ ยกตัวอย่างเช่น ข้าราชการทั่วไปจะไม่สามารถผ่านประตูหลักไปยังพื้นที่ด้านในได้ การออกแบบกำแพงและประตูเหล่านี้ช่วยเน้นถึงความยิ่งใหญ่และความศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังต้องห้าม ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกถึงความเกรงขามและความสำคัญของสถานที่แห่งนี้

 

10. คูน้ำรอบพระราชวังต้องห้าม | ชั้นป้องกันที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาโบราณ

คูน้ำรอบพระราชวังต้องห้าม หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า “外金水河” (Wai Jinshui He) เป็นชั้นป้องกันทางกายภาพที่สำคัญที่สุดชั้นหนึ่งของพระราชวัง คูน้ำนี้มีความกว้างประมาณ 52 เมตร และลึก 6 เมตร ล้อมรอบพระราชวังทั้งสี่ด้าน คูน้ำถูกสร้างขึ้นเพื่อเสริมความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการโจมตีภายนอก โดยเฉพาะจากข้าศึกที่พยายามบุกรุกเข้ามาผ่านกำแพงพระราชวัง

พระราชวังต้องห้าม
คูน้ำรอบพระราชวัง

 

บทบาทในการป้องกันพระราชวัง คูน้ำทำหน้าที่เป็นอุปสรรคทางธรรมชาติที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงกำแพงพระราชวังจากศัตรู การที่ต้องข้ามคูน้ำกว้างใหญ่และลึกนี้ทำให้การโจมตีพระราชวังทำได้ยากขึ้นอย่างมาก ในกรณีที่มีการโจมตีด้วยบันไดหรืออาวุธหนัก คูน้ำยังช่วยลดโอกาสที่อาวุธเหล่านั้นจะสามารถทำลายกำแพงได้ นอกจากนี้ คูน้ำยังช่วยควบคุมการเข้าถึงพื้นที่ภายในพระราชวัง โดยมีสะพานเพียงไม่กี่แห่งที่เชื่อมต่อเข้ากับประตูหลัก

การใช้งานในเชิงสิ่งแวดล้อมและสัญลักษณ์ นอกจากบทบาทด้านการป้องกัน คูน้ำยังมีความสำคัญในเชิงสิ่งแวดล้อม โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำที่ช่วยสร้างความชุ่มชื้นและลดอุณหภูมิภายในพระราชวังในช่วงฤดูร้อน การออกแบบคูน้ำยังสอดคล้องกับหลักฮวงจุ้ย โดยน้ำถือเป็นธาตุที่นำโชคและความสมบูรณ์มาสู่สถานที่ น้ำที่ล้อมรอบพระราชวังจึงสื่อถึงการปกป้องและการเสริมสร้างพลังงานที่ดีให้แก่จักรพรรดิและพระราชวงศ์

ความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ คูน้ำรอบพระราชวังยังเป็นสัญลักษณ์ของเขตแดนที่แบ่งแยกโลกภายนอกและโลกภายในของพระราชวัง ต้องข้ามคูน้ำจึงจะสามารถเข้าถึงศูนย์กลางแห่งอำนาจของจักรวรรดิได้ ทำให้ผู้ที่มาเยือนรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และความศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังต้องห้าม คูน้ำจึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือป้องกันทางกายภาพ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง ความรุ่งเรือง และความสง่างามของจักรวรรดิจีนในยุคโบราณ

ภูมิปัญญาในการออกแบบและการใช้งาน การสร้างคูน้ำรอบพระราชวังแสดงถึงภูมิปัญญาทางวิศวกรรมในสมัยโบราณที่สามารถผสมผสานฟังก์ชันการใช้งานเข้ากับความสวยงามและความเชื่อทางวัฒนธรรมได้อย่างลงตัว คูน้ำยังทำหน้าที่เก็บน้ำฝนและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่ราบลุ่มของกรุงปักกิ่ง ดังนั้น คูน้ำรอบพระราชวังต้องห้ามจึงเป็นทั้งชั้นป้องกันและองค์ประกอบทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในโครงสร้างของพระราชวัง

 

พระราชวังต้องห้ามกับหลักฮวงจุ้ย กับการออกแบบที่สะท้อนความสมดุลและพลังบวก

1. ตำแหน่งที่ตั้งและทิศทาง

พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของอำนาจและจักรวรรดิ การหันหน้าพระราชวังไปทางทิศใต้ ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยถือเป็นทิศที่นำพลังงานแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง และโชคลาภมาสู่ผู้ครอบครอง สอดคล้องกับบทบาทของจักรพรรดิในฐานะ “โอรสแห่งสวรรค์” นอกจากนี้ ทิศเหนือของพระราชวังมีภูเขาเทียม เช่น เขาเทียนชิว (Tianshou Mountain) ซึ่งทำหน้าที่เป็น “หลังพิง” ช่วยเสริมพลังความมั่นคงและการป้องกันจากพลังลบที่มาจากทิศนี้

2. การออกแบบตามแกนกลาง (Central Axis)

พระราชวังต้องห้ามถูกออกแบบให้มีแกนกลางที่ชัดเจน ซึ่งเป็นเส้นตรงจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ แกนนี้เป็นตัวแทนของความสมดุลและเส้นทางพลังงาน (ชี่) ที่ไหลเวียนในพระราชวัง อาคารสำคัญ เช่น โถงไท่เหอ โถงจงเหอ และโถงเป่าเหอ ถูกจัดวางอยู่บนแกนนี้เพื่อแสดงถึงศูนย์กลางของพลังอำนาจ การออกแบบตามแกนกลางช่วยเสริมพลังงานที่ดีให้ไหลเวียนอย่างราบรื่นทั่วทั้งพระราชวัง นอกจากนี้ การมีพื้นที่โล่งด้านหน้าอาคารสำคัญยังช่วยกระจายพลังงานและเสริมความรุ่งเรืองของจักรวรรดิ

3. การใช้ธาตุทั้งห้า (Five Elements)

การออกแบบพระราชวังต้องห้ามยังคำนึงถึงธาตุทั้งห้า ได้แก่ ไม้ ไฟ ดิน ทอง และน้ำ เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้าง ตัวอย่างเช่น การเลือกใช้สีแดงและทองในโครงสร้างอาคาร สื่อถึงธาตุไฟและทองที่ช่วยเสริมพลังอำนาจของจักรพรรดิ ขณะที่คูน้ำรอบพระราชวังสะท้อนถึงธาตุน้ำที่ช่วยปกป้องและเพิ่มพลังงานดี การประยุกต์ใช้ธาตุทั้งห้าทำให้พระราชวังมีพลังงานที่สมดุลและกลมกลืน

พระราชวังต้องห้าม
การออกแบบพระราชวังต้องห้ามยังคำนึงถึงธาตุทั้งห้า ได้แก่ ไม้ ไฟ ดิน ทอง และน้ำ

 

4. องค์ประกอบธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

พระราชวังต้องห้ามถูกล้อมรอบด้วยองค์ประกอบธรรมชาติ เช่น คูน้ำ ต้นไม้ และภูเขาเทียม ที่ถูกจัดวางอย่างตั้งใจตามหลักฮวงจุ้ย คูน้ำรอบพระราชวังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของธาตุน้ำ ช่วยเพิ่มพลังงานแห่งความมั่งคั่งและป้องกันพลังลบไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ภายใน สวนอวี้ฮวาที่ตั้งอยู่ในเขตด้านในยังช่วยสร้างสมดุลทางพลังงานและเป็นสถานที่พักผ่อนที่เงียบสงบสำหรับราชวงศ์ องค์ประกอบเหล่านี้สะท้อนถึงความกลมกลืนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

5. การออกแบบพื้นที่เพื่อเสริมพลังงาน (Chi Flow)

การออกแบบพื้นที่ภายในพระราชวังต้องห้ามเน้นการเปิดทางให้พลังงาน (ชี่) ไหลเวียนได้อย่างราบรื่น ระหว่างอาคารและลานกว้างจะไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ใหญ่หรือกำแพงเสริมที่ปิดทางเดินของพลังงาน นอกจากนี้ การออกแบบประตูและหน้าต่างยังถูกคำนึงถึงเพื่อให้ลมและแสงธรรมชาติสามารถไหลเวียนได้ดีในพื้นที่ สิ่งนี้ช่วยเสริมสร้างพลังงานที่ดีและทำให้พื้นที่พระราชวังยังคงความสดชื่น

6. ความสมดุลของพลังหยินและหยาง

พระราชวังต้องห้ามออกแบบโดยเน้นความสมดุลระหว่างพลังหยิน (ความสงบ สุขุม) และพลังหยาง (ความเคลื่อนไหวและอำนาจ) เขตด้านหน้า เช่น โถงไท่เหอ มีพลังหยางที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และอำนาจ ขณะที่เขตด้านใน เช่น พระตำหนักคุนหนิง และสวนอวี้ฮวา มีพลังหยินที่สร้างบรรยากาศสงบสุขและผ่อนคลาย การผสมผสานพลังทั้งสองช่วยให้จักรพรรดิและราชวงศ์สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุลและมีพลังอำนาจที่มั่นคง

 

” พระราชวังต้องห้ามจึงไม่ใช่แค่ศูนย์กลางของการปกครอง แต่ยังเป็นผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนถึงปรัชญาและภูมิปัญญาโบราณในการสร้างสมดุลและเสริมพลังอำนาจตามหลักฮวงจุ้ย “

 

หากคุณต้องการเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้าม (The Forbidden City) ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน นี่คือข้อมูลที่คุณควรทราบ

การจองบัตรเข้าชม

ปัจจุบัน พระราชวังต้องห้ามกำหนดให้ผู้เข้าชมต้องจองบัตรล่วงหน้าผ่านทางออนไลน์เท่านั้น ไม่มีการจำหน่ายบัตรที่หน้างาน โดยคุณสามารถจองบัตรได้ผ่านเว็บไซต์ทางการของพิพิธภัณฑ์พระราชวังที่นี่ คลิก ซึ่งระบบจะเปิดให้จองล่วงหน้าได้สูงสุด 7 วัน เช่น หากคุณต้องการเข้าชมในวันที่ 30 เมษายน คุณสามารถเริ่มจองได้ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน เวลา 19:00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยในการจองนั้น คุณจะต้องลงทะเบียนบัญชีผู้ใช้และกรอกข้อมูลส่วนตัว รวมถึงหมายเลขหนังสือเดินทางของผู้เข้าชมทุกคน แนะนำให้เข้าสู่ระบบล่วงหน้าก่อนเวลา 19:00 น. เพื่อเตรียมความพร้อมในการจอง

พระราชวังต้องห้าม
พระราชวังต้องห้ามกำหนดให้ผู้เข้าชมต้องจองบัตรล่วงหน้าผ่านทางออนไลน์เท่านั้น

 

ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชมพระราชวังต้องห้ามจะแตกต่างกันตามฤดูกาล

– ช่วงฤดูท่องเที่ยว (1 เมษายน – 31 ตุลาคม) = 60 หยวนต่อคน

– ช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว (1 พฤศจิกายน – 31 มีนาคม) = 40 หยวนต่อคน

นอกจากนี้ ยังมีส่วนจัดแสดงพิเศษ เช่น หอนาฬิกา (Clocks Gallery) และหอสมบัติ (Treasure Gallery) ที่มีค่าเข้าชมเพิ่มเติมส่วนละ 10 หยวน

เวลาเปิด-ปิด : พระราชวังต้องห้ามเปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ โดยมีเวลาทำการดังนี้

– 1 เมษายน – 31 ตุลาคม  เปิดเวลา 08:30 น. เข้าชมรอบสุดท้ายเวลา 16:00 น. ปิดเวลา 17:00 น.

– 1 พฤศจิกายน – 31 มีนาคม  เปิดเวลา 08:30 น. เข้าชมรอบสุดท้ายเวลา 15:30 น. ปิดเวลา 16:30 น.

ในการจองบัตรเข้าชม คุณสามารถเลือกช่วงเวลาการเข้าชมได้ระหว่าง

– รอบเช้า (Morning) เข้าชมได้ตั้งแต่ 08:30 น. – 12:00 น.

– รอบบ่าย (Afternoon) เข้าชมได้ตั้งแต่ 11:00 น. – 16:00 น.

ทั้งนี้ คุณสามารถอยู่ภายในพระราชวังได้จนถึงเวลาปิดทำการ ไม่ว่าจะจองรอบเช้าหรือบ่ายก็ตาม

หมายเหตุเพิ่มเติม

– วันหยุดนักขัตฤกษ์ ในบางวันหยุดนักขัตฤกษ์ พระราชวังอาจเปิดให้เข้าชมในวันจันทร์ แต่ควรตรวจสอบข้อมูลล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ทางการ

– การเตรียมตัว ควรนำหนังสือเดินทางติดตัวไปด้วยในวันที่เข้าชม เนื่องจากต้องแสดงเป็นหลักฐานในการเข้าชม

– การเดินทาง คุณสามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย 1 ไปยังสถานี Tiananmen East หรือ Tiananmen West แล้วเดินต่อไปยังประตูเมอริเดียน (Meridian Gate) ซึ่งเป็นทางเข้าหลักของพระราชวัง

 

” การวางแผนล่วงหน้าและการจองบัตรเข้าชมตามขั้นตอนที่กำหนดจะช่วยให้การเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและน่าประทับใจ “

 

พระราชวังต้องห้าม หรือ Forbidden City ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เป็นศูนย์กลางอำนาจของจักรพรรดิราชวงศ์หมิงและชิงมานานกว่า 500 ปี โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอันวิจิตรที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาจีนโบราณ การออกแบบที่สอดคล้องกับหลักฮวงจุ้ย และบทบาทสำคัญทั้งในด้านการปกครองและวัฒนธรรม พระราชวังแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 720,000 ตารางเมตร มีโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่ อาทิ โถงไท่เหอ สวนอวี้ฮวา และคูน้ำรอบพระราชวัง ซึ่งสะท้อนถึงความรุ่งเรืองและความมั่นคงของจักรวรรดิจีน ปัจจุบัน พระราชวังต้องห้ามได้รับการอนุรักษ์เป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวัง และยังคงเป็นแหล่งเรียนรู้และสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก

พระราชวังต้องห้าม ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่และภูมิปัญญาของจีนที่คงอยู่ผ่านกาลเวลาหลายศตวรรษ ด้วยความงดงามและความสำคัญที่ไร้กาลเวลา สถานที่แห่งนี้ยังคงเชื้อเชิญให้ผู้คนจากทั่วโลกมาสัมผัสเสน่ห์ของวัฒนธรรมจีน และเรียนรู้เรื่องราวของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
พระราชวังต้องห้าม
พระราชวังนี้ใหญ่และสวยมากๆค่ะ มาเที่ยวมาเยี่ยมชมกันนะคะ

 

>> เที่ยวเมืองปักกิ่ง คลิก

>>ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของเราได้ที่ช่องทางนี้ คลิก

“เรามุ่งมั่นที่จะทำทัวร์ท่องเที่ยวให้แตกต่างจากทั่วไป สถานที่ที่คุณจะได้ไปนั้นนอกจากจะได้ท่องเที่ยวพักผ่อนไปกับเราแล้วเรายังเปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้กับคุณอีกด้วย กับแผนการเดินทางที่แตกต่างและไม่จำเจเหมือนกับทั่วๆไป อีกทั้งคุณยังได้รับการดูแลและมีบริการที่แตกต่าง ให้คุณเปรียบเสมือนคนพิเศษ ให้ได้รู้สึกสัมผัสการไปเที่ยวไม่เหมือนใคร และจะประทับใจแบบไม่มีทางลืมได้เลย..” คุณสามารถติดต่อหาเราได้ตามช่องทางข้างล่างนี้เพื่อเลือกเคมเปญที่เหมาะสมที่สุดให้กับคุณ

💬 ติดต่อเราได้เลย!

        • โทรด่วนได้ที่ 082-036-5184
        • ส่งภาพหน้างานและพูดคุยได้ที่ Line
          เพิ่มเพื่อน
        • Email : spregaltravel@hotmail.com
        • ติดตามเพิ่มเติมที่ www.facebook.com/spregaltravel/