อากาศหนาวและหิมะ | รู้ก่อนไปเที่ยวกับสิ่งที่คนไทยฝันถึง
อากาศหนาวและหิมะ ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนที่พบอากาศหนาวเพียงช่วงสั้น ๆ ในฤดูหนาว และไม่มีหิมะตก ทำให้ “หิมะ” และความหนาวเย็นกลายเป็นความฝันที่หลายคนอยากสัมผัสสักครั้งในชีวิต การไปเที่ยวต่างประเทศจึงเป้นสิ่งที่ตอบโจทย์ได้อย่างดี แต่การไปเที่ยวเมืองหนาวนั้นต้องมีการเตรียมตัว เพื่อการท่องเที่ยวที่มีความสุขตลอดทั้งทริป
.

.

.
อากาศหนาวและหิมะ มารู้จักอากาศเย็นและอากาศหนาวกันก่อน
คำว่า “เย็น” และ “หนาว” ในเชิงอุณหภูมิมีการแบ่งตามความรู้สึกและบริบทที่ใช้ ซึ่งมีเกณฑ์ชัดเจนที่กำหนดด้วยตัวเลขตายตัว สามารถแบ่ง ได้ดังนี้
“เย็น” มักหมายถึงอุณหภูมิที่ต่ำลงจนรู้สึกเย็นสบายหรือเริ่มหนาว คือประมาณ 18-25°C ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่คนไทยคุ้นชินในช่วงฤดูหนาวของประเทศ
“หนาว” หมายถึงอุณหภูมิที่ต่ำจนรู้สึกไม่สบายหรือเริ่มต้องการความอบอุ่น คือต่ำกว่า 18°C โดยเฉพาะเมื่ออุณหภูมิลดลงจนถึงระดับ 10-15°C หรือต่ำกว่านั้น จะถือว่าเป็นความหนาวเย็นจัด
ในบริบทของคนไทยที่คุ้นชินกับอากาศร้อน การเจออากาศต่ำกว่า 25°C อาจถูกเรียกว่า “หนาว” ได้แล้ว แต่ในประเทศที่มีหิมะ เช่น ญี่ปุ่นหรือเกาหลี อุณหภูมิต่ำกว่า 0°C จึงจะถูกมองว่า “หนาวจัด”
อุณหภูมิ 19-25 องศา เรียกว่า “อากาศเย็น” และอุณหภูมิต่ำกว่า 18 องศาลงมาเรียกว่า “อากาศหนาว”
.

.
อากาศหนาวและหิมะ กับอากาศหนาวระดับแรก
เมื่ออุณหภูมิอยู่ในช่วง 10-18°C ซึ่งถือเป็นระดับแรกของ “อากาศหนาว” สำหรับคนไทยหรือผู้ที่อาศัยในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนเป็นหลัก ความรู้สึกและลักษณะการรับรู้ต่ออากาศหนาวในระดับนี้มักเป็นดังนี้
.
ลักษณะความรู้สึกทั่วไป
1. เย็นชัดเจนและต้องการการปรับตัว สำหรับคนไทยที่ไม่คุ้นชินกับอากาศหนาว ระดับนี้จะเริ่มรู้สึกเย็นชัดเจนจนต้องหาเสื้อกันหนาวบาง ๆ มาใส่ เช่น เสื้อแขนยาวหรือเสื้อคลุม รวมถึงผิวเริ่มรู้สึกเย็น โดยเฉพาะบริเวณมือและปลายเท้า
2. สบายสำหรับบางคน แต่หนาวสำหรับคนอื่น คนที่ชอบอากาศเย็นจะรู้สึกว่าสบายและสดชื่นในช่วงนี้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ทนต่อความหนาว อาจเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว ต้องการเครื่องกันหนาวหรือเครื่องดื่มอุ่น ๆ
3. ลมหนาวเพิ่มความรู้สึกเย็น หากมีลมแรง จะรู้สึกหนาวเย็นมากขึ้น แม้ว่าอุณหภูมิจะอยู่ในช่วงปลายของระดับนี้ (16-18°C)
.
ผลกระทบต่อร่างกาย
1. การหายใจ อากาศเย็นในช่วงนี้อาจทำให้รู้สึกเย็นขณะหายใจเข้า โดยเฉพาะถ้าเป็นพื้นที่ชื้น แต่บางคนอาจเริ่มมีอาการคัดจมูกเล็กน้อย
2. ผิวแห้ง ระดับนี้ผิวเริ่มรู้สึกแห้ง หากไม่ได้รับการดูแล เช่น การทาครีมบำรุง
3. การแต่งตัว ผู้คนเริ่มแต่งตัวด้วยเสื้อแขนยาวหรือใส่เสื้อผ้าหลายชั้นเพื่อป้องกันอากาศเย็น
.
ความรู้สึกเชิงอารมณ์
1. รู้สึกสดชื่น อากาศในระดับนี้ช่วยกระตุ้นความรู้สึกสดชื่นและมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะในช่วงเช้าหรือกลางคืน
2. เริ่มอบอุ่นด้วยสิ่งของรอบตัว คนเริ่มหาความอบอุ่นจากสิ่งรอบตัว เช่น เครื่องดื่มร้อน ผ้าห่ม หรือฮีตเตอร์ในบางพื้นที่
.
บริบทในประเทศไทย
สำหรับคนในภาคเหนือหรือภูเขาสูง อุณหภูมิ 10-18°C อาจถูกมองว่า “เย็นสบาย” แต่สำหรับคนในเมืองใหญ่หรือพื้นที่ร้อน เช่น กรุงเทพฯ อากาศในระดับนี้จะรู้สึก “หนาวจัด” และถือเป็นโอกาสพิเศษที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น
” สรุป ช่วงอุณหภูมิ 10-18°C เป็นระดับที่ทำให้คนเริ่มรู้สึกหนาว แต่ยังไม่ถึงขั้นทรมานหรือหนาวเกินไป ส่วนใหญ่จะรู้สึกเย็นสดชื่นแต่เริ่มต้องการการป้องกัน เช่น เสื้อกันหนาวหรือความอบอุ่นเสริม “
.
อากาศหนาวและหิมะ กับอากาศหนาวระดับที่ 0-9 องศา
เมื่ออุณหภูมิอยู่ในช่วง 0-9°C ซึ่งถือเป็นระดับหนาวจัดสำหรับคนไทยและผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศหนาว ลักษณะความรู้สึกและการรับรู้ต่ออากาศหนาวในระดับนี้มีดังนี้
.

.
ลักษณะความรู้สึกทั่วไป
1. ความเย็นแทรกซึมร่างกาย ความหนาวจะรู้สึกชัดเจนและลึกถึงกระดูก ทำให้ร่างกายต้องการการปกป้องอย่างเร่งด่วน เช่น เสื้อกันหนาวที่มีความหนาหรือผ้าพันคอ ส่วนมือและเท้าจะเย็นชัดเจน หากไม่มีถุงมือหรือรองเท้ากันหนาว อาจรู้สึกเจ็บปลายนิ้ว
2. ลมหายใจเป็นไอ ขณะหายใจออก ลมหายใจจะกลายเป็นไอขาวเนื่องจากอุณหภูมิของร่างกายต่างกับอากาศ ซึ่งหากมีลมแรง จะรู้สึกว่าความหนาวทวีความรุนแรงขึ้นกว่าค่าจริงของอุณหภูมิ (Wind Chill Effect)
3. ไม่สบายตัวอย่างชัดเจน สำหรับคนที่ไม่คุ้นชิน อาจรู้สึกว่าเป็น “หนาวจนทรมาน” โดยเฉพาะในที่เปิดโล่งหรือไม่มีแหล่งความอบอุ่น อาการสั่นของร่างกายเริ่มเกิดขึ้น เนื่องจากร่างกายพยายามสร้างความอบอุ่น
.
ผลกระทบต่อร่างกาย
1. การตอบสนองของร่างกาย ผิวหนังจะซีดหรือแดง และรู้สึกแสบคันในบางพื้นที่ เช่น ใบหน้า มือ หรือเท้าที่สัมผัสลมเย็นโดยตรง การไหลเวียนโลหิตช้าลง อาจรู้สึกชา โดยเฉพาะบริเวณปลายมือปลายเท้า
2. ความร้อนในร่างกายลดลง หากอยู่ในอุณหภูมินี้เป็นเวลานานโดยไม่มีการปกป้อง ร่างกายจะสูญเสียความร้อนเร็วกว่าปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่ ภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia) ในกรณีรุนแรง
4 ต้องการพลังงานมากขึ้น ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานเพื่อสร้างความอบอุ่น ทำให้คนรู้สึกหิวหรือกระหายเครื่องดื่มร้อนบ่อยขึ้น
.
ความรู้สึกเชิงอารมณ์
1. ตื่นเต้นและแปลกใหม่ สำหรับคนที่ไม่เคยสัมผัส อากาศระดับนี้อาจรู้สึกตื่นเต้น เพราะเป็นความหนาวที่ไม่ค่อยพบในประเทศไทย
2. ความเครียดและไม่สบายใจ สำหรับบางคน อาจเกิดความเครียดหรือไม่สบายใจ เพราะต้องปรับตัวและดูแลตัวเองมากขึ้นในอากาศหนาวจัด
.
บริบทในประเทศไทย
ระดับอุณหภูมิ 0-9°C นับว่าเป็นระดับหนาวจัดและหาได้ยากในไทย ยกเว้นในพื้นที่ยอดเขาหรือดอยสูง เช่น ดอยอินทนนท์ที่บางครั้งอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ส่วนคนไทยส่วนใหญ่มักเตรียมตัวด้วยเสื้อผ้าหนา ๆ และเครื่องอุปกรณ์กันหนาว เช่น หมวก ผ้าพันคอ และถุงมือ หากเดินทางไปยังสถานที่ที่มีอุณหภูมิระดับนี้
.
กิจกรรมและการเตรียมตัว
1. กิจกรรมในระดับนี้ ผู้คนที่ชื่นชอบหิมะหรือเล่นกิจกรรมฤดูหนาว เช่น สกี สโนว์บอร์ด หรือการปั้นตุ๊กตาหิมะ อาจพบอากาศระดับนี้เหมาะสมกับกิจกรรมเหล่านั้น
2. การเตรียมตัว ต้องสวมใส่เสื้อผ้าหลายชั้น รวมถึงเสื้อกันหนาวที่มีคุณสมบัติป้องกันลมและความชื้นได้ดี รวมถึงใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อป้องกันการแห้งแตกจากอากาศเย็นจัด
” สรุปอุณหภูมิ 0-9°C คือระดับที่ความหนาวเริ่มรู้สึกทรมานสำหรับคนไม่คุ้นชิน แต่เป็นช่วงที่หลายคนที่หลงใหลในฤดูหนาวรู้สึกสนุกและตื่นเต้น หากเตรียมตัวอย่างเหมาะสม ความหนาวในระดับนี้สามารถกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ “
.
.
อากาศหนาวและหิมะ กับอากาศหนาวระดับ -1 ถึง -10 องศา
เมื่ออุณหภูมิอยู่ในช่วง -1 ถึง -10°C ถือว่าเป็นระดับอากาศหนาวจัด ซึ่งสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นชินกับอากาศเย็น เช่น คนไทย ความหนาวในระดับนี้จะส่งผลต่อการรับรู้และการตอบสนองของร่างกาย ดังนี้
.

.
ลักษณะความรู้สึกทั่วไป
1. ความหนาวลึกถึงกระดูก ความหนาวเย็นในช่วงนี้รู้สึกชัดเจนและแทรกซึมลึกเข้าสู่ร่างกาย แม้จะสวมเสื้อผ้าหนา หากไม่ได้ป้องกันอย่างเหมาะสมจะรู้สึกไม่สบายตัวทันที
2. การสัมผัสที่แสบร้อน ผิวหนังที่สัมผัสอากาศโดยตรงจะรู้สึกเย็นจัดและแสบร้อนเหมือนถูกกัดด้วยน้ำแข็ง โดยเฉพาะส่วนที่ไม่มีการปกป้อง เช่น ใบหน้าและหู
3. ลมหายใจเย็นจัด ลมหายใจเข้าอาจรู้สึกเย็นแสบโพรงจมูก และลมหายใจออกจะกลายเป็นไอสีขาวหนาแน่นอย่างชัดเจน
4. รู้สึกชาในปลายมือปลายเท้า การไหลเวียนเลือดที่ลดลงทำให้ปลายมือ ปลายเท้า ใบหู และจมูกเริ่มรู้สึกชา หากสัมผัสอากาศเย็นจัดโดยไม่มีการปกป้อง อาจนำไปสู่ frostnip หรือ frostbite ได้
Frostnip เป็นอาการเบื้องต้นของเนื้อเยื่อที่สัมผัสกับอากาศเย็นจัด โดยไม่มีการทำลายเนื้อเยื่อถาวร
Frostbite เป็นอาการที่รุนแรงกว่ามาก เกิดจากเนื้อเยื่อของร่างกาย ถูกแช่แข็ง เนื่องจากอากาศเย็นจัด จนส่งผลเสียต่อเนื้อเยื่ออย่างถาวรในบางกรณี
.
ผลกระทบต่อร่างกาย
1. การสั่นเพื่อสร้างความร้อน ร่างกายจะเริ่มสั่นเพื่อกระตุ้นการผลิตความร้อน นี่เป็นกลไกป้องกันตัวเองจากความหนาวเย็น
2. ความเสี่ยงต่อภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia) หากอยู่ในอุณหภูมินี้เป็นเวลานานโดยไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะสม ร่างกายจะสูญเสียความร้อนมากขึ้น ทำให้มีอาการตัวเย็นเกิน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
3. ผิวแห้งและแตกง่าย อากาศเย็นจัดมักมาพร้อมกับความชื้นต่ำ ทำให้ผิวแห้ง แตก และคันได้ง่าย
.
ความรู้สึกเชิงอารมณ์
1. รู้สึกตื่นเต้นสำหรับคนที่ชอบอากาศหนาว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอากาศหนาว อาจรู้สึกสดชื่นและตื่นเต้นในช่วงแรก แต่จะไม่สามารถทนได้นานโดยไม่มีเสื้อผ้าที่เหมาะสม
2. รู้สึกเครียดและต้องการหลบหนี สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย อากาศหนาวระดับนี้อาจสร้างความเครียด ทำให้รู้สึกต้องการที่หลบภัยที่อบอุ่นทันที
.
วิธีการรับมือ
1. การแต่งกาย ต้องสวมเสื้อผ้าหลายชั้น โดยชั้นนอกสุดควรกันลมและกันน้ำได้ พร้อมด้วยอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หมวก ถุงมือ ผ้าพันคอ และถุงเท้าหนา ๆ ควรมีการใส่รองเท้าที่ป้องกันน้ำและให้ความอบอุ่นสำคัญมาก
2. การดูแลร่างกาย ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ อย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งนานเกินไป และใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อป้องกันการแห้งและแตก
3. สภาพจิตใจ พยายามหาความอบอุ่นจากสิ่งรอบตัว เช่น อยู่ใกล้แหล่งความร้อน ห่มผ้าหนา ๆ และสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย
.
กิจกรรมที่เหมาะสม
– ช่วงอุณหภูมินี้มักพบในพื้นที่ที่มีหิมะ จึงเหมาะสำหรับกิจกรรมฤดูหนาว เช่น สกี สโนว์บอร์ด หรือการถ่ายภาพในบรรยากาศหิมะ แต่ต้องระมัดระวังอาการหนาวจนเกินไป
สรุป ช่วงอุณหภูมิ -1 ถึง -10°C เป็นระดับที่เริ่มหนาวจัดและท้าทายร่างกายสำหรับคนไทยหรือผู้ที่ไม่คุ้นเคย ต้องการการเตรียมตัวที่ดีและการป้องกันที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถรับมือและเพลิดเพลินกับอากาศหนาวนี้ได้อย่างปลอดภัย
.

.
อากาศหนาวและหิมะ กับอากาศหนาวระดับ -11 ถึง -20 องศา
เมื่ออุณหภูมิอยู่ในช่วง -11 ถึง -20°C นับเป็นระดับหนาวจัดที่ส่งผลต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นชินกับอากาศเย็น ความรู้สึกและลักษณะการรับรู้ในระดับนี้สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
.

.
ลักษณะความรู้สึกทั่วไป
1. ความเย็นแทรกลึก รู้สึกเหมือนความเย็น “กัด” ผิวหนัง ความรู้สึกชาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณ ใบหน้า ใบหู มือ และเท้า ที่สัมผัสอากาศโดยตรง หากการปกป้องที่ไม่เพียงพอ การปกป้องด้วยเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์ป้องกันความเย็นที่ไม่เพียงพอ จะทำให้ป้องกันความหนาวและเจ็บปวดได้แค่ระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
2. ลมหายใจเย็นเจ็บ อากาศหนาวระดับนี้จะทำให้การหายใจรู้สึกเย็นแสบโพรงจมูกและลำคอ หากหายใจลึกอาจรู้สึกเจ็บ ลมหายใจออกมักกลายเป็นไอขาวหนาแน่นชัดเจน
3. การรับรู้เวลาสั้นลง คนส่วนใหญ่ไม่สามารถอยู่นอกอาคารโดยไม่มีการปกป้องที่เหมาะสมได้นานเกิน 10-15 นาที เพราะร่างกายจะสูญเสียความร้อนอย่างรวดเร็ว
4. น้ำแข็งเกาะตามร่างกาย ความชื้นจากลมหายใจหรือน้ำในอากาศอาจกลายเป็นน้ำแข็งเกาะบนขนตา ขนคิ้ว หรือเสื้อผ้า
.
ผลกระทบต่อร่างกาย
1. การตอบสนองต่อความเย็น ปลายมือปลายเท้าจะเริ่มชาภายในไม่กี่นาที หากไม่ได้สวมถุงมือหรือถุงเท้ากันหนาวอย่างหนา รวมถึงใบหน้า ใบหู และจมูกมีความเสี่ยงต่อการเกิด frostnip และอาจพัฒนาเป็น frostbite ได้อย่างรวดเร็ว
2 กลไกป้องกันตัวเองของร่างกาย ร่างกายจะลดการไหลเวียนเลือดไปยังส่วนปลาย เช่น มือ เท้า และใบหน้า เพื่อรักษาความอบอุ่นของอวัยวะสำคัญ (หัวใจและสมอง) รวมถึงอาการสั่นเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยสร้างความอบอุ่น แต่จะใช้พลังงานอย่างมากและเหนื่อยเร็ว
3. เสี่ยงต่อภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia) อุณหภูมิระดับนี้ทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อนอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รับการป้องกันหรือหาแหล่งความอบอุ่น อาจเกิดภาวะตัวเย็นเกินได้ภายใน 30-60 นาที
.
ลักษณะเชิงอารมณ์
1. ความอึดอัดและความเครียด ผู้ที่ไม่คุ้นชินจะรู้สึกไม่สบายตัวและต้องการความอบอุ่นทันที รวมถึงความเครียดและความกังวลอาจเพิ่มขึ้น หากไม่มีวิธีป้องกันความหนาวที่เพียงพอ
2. ความตื่นเต้นในช่วงสั้นๆ สำหรับบางคน การสัมผัสความหนาวในระดับนี้อาจรู้สึกแปลกใหม่ในช่วงแรก แต่ความหนาวจัดจะทำให้ความรู้สึกนี้หายไปอย่างรวดเร็ว
.
กิจกรรมในอากาศระดับนี้
– มักพบในพื้นที่ที่มีหิมะหนา เช่น บนภูเขาหรือพื้นที่ขั้วโลก
– กิจกรรมที่ทำได้ เช่น สกี สโนว์บอร์ด หรือปีนเขา แต่ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันความหนาวเต็มรูปแบบ
– การอยู่กลางแจ้งควรมีระยะเวลาจำกัด และต้องมีแหล่งพักพิงที่อุ่น
.
การป้องกันและการเตรียมตัว
1. เสื้อผ้าและอุปกรณ์ป้องกัน ควรสวมเสื้อผ้าหลายชั้น โดยมีเสื้อชั้นนอกที่กันลมและกันน้ำ ต้องใช้หมวก ถุงมือ ผ้าพันคอ ถุงเท้าหนา และรองเท้ากันน้ำเพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อน รวมถึงควรใส่ที่ปิดใบหูด้วย เพราะอุณหภูมิขนาดนี้จะทำให้ใบหูชาอย่างรวดเร็ว
2. ปกป้องใบหน้า ใช้หน้ากากหรือผ้าพันคอคลุมใบหน้าเพื่อป้องกันผิวหนังจากลมหนาว และเพื่อป้องกันปากชา
3. ดื่มน้ำและทานอาหารที่ให้พลังงาน อากาศเย็นจัดทำให้ร่างกายใช้พลังงานมากขึ้น การดื่มน้ำอุ่นหรือทานอาหารที่ให้พลังงานจะช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกาย
4. หลีกเลี่ยงการเปียก ความเปียกชื้นจะเพิ่มการสูญเสียความร้อนของร่างกายอย่างมาก
สรุป อากาศในช่วง -11 ถึง -20°C เป็นระดับหนาวจัดที่ส่งผลต่อร่างกายอย่างรวดเร็วและอาจก่อให้เกิดอันตรายหากไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม ผู้ที่ต้องสัมผัสอากาศหนาวระดับนี้ควรเตรียมตัวอย่างเต็มที่เพื่อความปลอดภัยและความสบาย
.

.
อากาศหนาวและหิมะ กับอากาศหนาวระดับ -21 ถึง -40 องศา และมากกว่านั้น
อุณหภูมิในช่วง -21 ถึง -40°C ถือเป็นระดับหนาวจัดถึงขั้นรุนแรง (extreme cold) ซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อร่างกายและการรับรู้ของมนุษย์ รวมถึงจำกัดกิจกรรมที่สามารถทำกลางแจ้งได้อย่างมาก ความรู้สึกและลักษณะการรับรู้ในอุณหภูมินี้มีดังนี้
.

.
ลักษณะความรู้สึกทั่วไป
1. ความเย็นที่เจ็บปวด ความหนาวเย็นในระดับนี้ทำให้ผิวหนังรู้สึกเหมือนถูก “กัด” หรือแสบร้อนทันทีที่สัมผัสกับอากาศ อาการชาเกิดขึ้นเกือบจะทันที โดยเฉพาะบริเวณที่ไม่มีการป้องกัน เช่น ใบหน้า ใบหู มือ และเท้า
2. ลมหายใจเป็นปัญหา ลมหายใจเข้าอาจรู้สึกเย็นเจ็บแสบที่โพรงจมูกและลำคอ และการหายใจลึกอาจทำให้แสบหน้าอก รวมถึงไอน้ำจากลมหายใจออกจะเกาะตัวเป็นน้ำแข็งทันทีบนขนตา หนวด หรือขอบหน้ากาก
3. เสื้อผ้าที่หนาอาจไม่เพียงพอ แม้จะสวมเสื้อผ้าหลายชั้นและหนา แต่ลมเย็นจัด (wind chill) จะทำให้รู้สึกหนาวยิ่งกว่าค่าจริงของอุณหภูมิ การป้องกันที่ไม่เพียงพออาจทำให้สูญเสียความร้อนในเวลาอันรวดเร็ว
4. จำกัดการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวอาจเริ่มยากขึ้น เนื่องจากเสื้อผ้าที่หนาและร่างกายพยายามเก็บความร้อน ข้อต่อหรือกล้ามเนื้ออาจรู้สึกแข็งตึงเพราะการไหลเวียนเลือดลดลง
.
ผลกระทบต่อร่างกาย
1. Frostbite (อาการเนื้อเยื่อเยือกแข็ง)ความหนาวระดับนี้สามารถทำให้เกิด frostbite ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที โดยเฉพาะบริเวณที่ไม่มีการปกป้อง เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า ใบหน้า และหู ผิวหนังอาจเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ซีด หรือดำในกรณีที่รุนแรง
2. Hypothermia (ภาวะตัวเย็นเกิน) การสูญเสียความร้อนจากร่างกายอย่างรวดเร็วอาจนำไปสู่ hypothermia ภายใน 10-30 นาทีหากไม่ได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม โดยอาการเริ่มต้นรวมถึงสั่นอย่างรุนแรง หมดสติ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
3. ลดการทำงานของสมองและร่างกาย สมองจะทำงานช้าลง ความคิดไม่ชัดเจน และการตัดสินใจลดลง กล้ามเนื้อเริ่มไม่ตอบสนอง อาจรู้สึกเหมือนร่างกาย “ชะงัก” ในการเคลื่อนไหว
4. การหยุดทำงานของอวัยวะสำคัญ หากไม่ได้รับความอบอุ่นอย่างทันท่วงที อวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ อาจเริ่มหยุดทำงานเนื่องจากการไหลเวียนเลือดลดลงอย่างมาก
.
ความรู้สึกเชิงอารมณ์
1. ความเครียดและความกังวลสูง อากาศในระดับนี้สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยและกระตุ้นความต้องการหลบหนีไปยังพื้นที่อบอุ่นทันที รวมถึงมีความกังวลเรื่องการอยู่รอดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากไม่มีที่พักพิง
2. ความอึดอัดและไม่สบายตัวอย่างรุนแรง แม้ผู้ที่ชื่นชอบอากาศหนาวอาจรู้สึกท้าทายในช่วงแรก แต่ระดับนี้ถือเป็นความท้าทายที่รุนแรงและไม่สบายตัว
.
กิจกรรมในอากาศระดับนี้
– กิจกรรมกลางแจ้งมักถูกจำกัด เนื่องจากการสัมผัสอากาศนานเกินไปจะเป็นอันตรายต่อชีวิต
– ผู้ที่ทำงานในพื้นที่หนาวจัด เช่น การสำรวจขั้วโลก หรือการอยู่บนภูเขาสูง จำเป็นต้องมีชุดป้องกันเฉพาะและที่พักพิงที่อบอุ่น
.
การป้องกันและการเตรียมตัว
1. เสื้อผ้าที่เหมาะสม สวมเสื้อผ้าหลายชั้นที่มีคุณสมบัติฉนวนความร้อนดี ชั้นนอกสุดควรกันลมและน้ำ ใช้หน้ากากหรือผ้าคลุมปิดใบหน้า ใบหูและศรีษะ เพื่อป้องกันผิวสัมผัสลมหนาวโดยตรง
2. หลีกเลี่ยงการเปียกชื้น เสื้อผ้าและถุงมือที่เปียกจะเร่งการสูญเสียความร้อนจากร่างกาย
3. หาแหล่งพักพิงที่อบอุ่น หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งนานเกิน 5-10 นาทีโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน
4. เพิ่มพลังงานให้ร่างกาย ดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ และรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างความอบอุ่น
5. สังเกตสัญญาณของอาการผิดปกติ หากเริ่มรู้สึกชา เจ็บ หรือสั่นเกินปกติ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งและหาแหล่งความอบอุ่นทันที
สรุป ช่วงอุณหภูมิ -21 ถึง -40°C เป็นระดับความหนาวที่รุนแรงมากและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม การอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวต้องอาศัยการเตรียมตัวอย่างเต็มที่และหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งโดยไม่จำเป็น
.

.

“หิมะ” เกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรเป็นปัจจัย?
หิมะ เกิดขึ้นจากกระบวนการธรรมชาติในชั้นบรรยากาศที่อุณหภูมิต่ำ และมีปัจจัยหลายประการที่ต้องเกิดขึ้นพร้อมกันเพื่อให้เกิดผลึกน้ำแข็งที่เรารู้จักในรูปของหิมะ ลองดูรายละเอียดดังนี้
.
กระบวนการเกิดหิมะ
1. การควบแน่นของไอน้ำในอากาศ ในบรรยากาศชั้นสูง เมื่ออากาศเย็นลงจนถึง จุดเยือกแข็ง (0°C หรือต่ำกว่า) ไอน้ำในอากาศจะเริ่มเปลี่ยนสถานะจากไอเป็นของแข็ง รวมถึงไอน้ำจะเกาะตัวบน แกนควบแน่น เช่น ฝุ่นละอองหรือเกลือในอากาศ
.

.
2 การก่อตัวของผลึกน้ำแข็ง เมื่อไอน้ำเย็นจัดเกาะตัวกับแกนควบแน่น ผลึกน้ำแข็งเริ่มก่อตัวในรูปแบบ หกเหลี่ยม (Hexagonal Crystals)เนื่องจากคุณสมบัติของโมเลกุลน้ำ และผลึกน้ำแข็งเหล่านี้จะเติบโตขึ้นเมื่อมีไอน้ำในอากาศเพิ่มเข้ามาเกาะติด
3 การรวมตัวเป็นเกล็ดหิมะ ผลึกน้ำแข็งเล็ก ๆ จะรวมตัวกันและจับกลุ่มเป็น เกล็ดหิมะ ขนาดใหญ่ รูปร่างของเกล็ดหิมะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความชื้นในบรรยากาศขณะที่มันก่อตัว ทำให้เกล็ดหิมะมีรูปร่างที่หลากหลาย
.

.
4 การตกลงสู่พื้นดิน เมื่อเกล็ดหิมะมีน้ำหนักมากพอ มันจะตกลงสู่พื้นดินในรูปของ หิมะตก หากอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศระหว่างชั้นเมฆและพื้นดินต่ำกว่า 0°C หิมะจะตกถึงพื้นในรูปของเกล็ดหิมะ และหากอุณหภูมิสูงกว่า 0°C บางส่วนของหิมะอาจละลายกลายเป็นน้ำหรือฝน
” เกร็ดความรู้ :
จุดเยือกแข็ง (Freezing Point) คืออุณหภูมิที่น้ำเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง ซึ่งในกรณีของ น้ำบริสุทธิ์ในสภาวะปกติ (ความดัน 1 บรรยากาศ) จุดเยือกแข็งคือ 0°C หรือ 32°F
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่อาจทำให้จุดเยือกแข็งเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย ได้แก่
1 ความดัน จุดเยือกแข็งของน้ำอาจเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามความดันบรรยากาศ หากความดันลดลง เช่น บนยอดเขาสูง จุดเยือกแข็งอาจลดต่ำกว่าปกติเล็กน้อย
2 สิ่งเจือปนในน้ำ
– หากน้ำมีเกลือหรือแร่ธาตุผสมอยู่ (เช่น น้ำทะเล) จุดเยือกแข็งจะต่ำกว่า 0°C
– น้ำทะเลมีจุดเยือกแข็งประมาณ -2°C ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของเกลือ
3 ปรากฏการณ์ Supercooling ในน้ำบริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งปนเปื้อน หากถูกทำให้เย็นลงช้า ๆ และไม่มีแรงสั่นสะเทือน น้ำอาจไม่แข็งตัวที่ 0°C แต่จะเย็นลงไปถึงประมาณ -10°C หรือ -20°C โดยยังคงอยู่ในสถานะของเหลว
ในสภาวะปกติ จุดเยือกแข็งของน้ำบริสุทธิ์คือ 0°C แต่สิ่งเจือปนหรือการเปลี่ยนแปลงของความดันอาจทำให้จุดเยือกแข็งเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย “
.
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดหิมะ
1 อุณหภูมิ อุณหภูมิที่ต่ำกว่า 0°C ในชั้นบรรยากาศและใกล้พื้นดินเป็นเงื่อนไขสำคัญ โดยหากอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศต่ำพอ แต่พื้นดินอุ่น หิมะที่ตกอาจละลายก่อนถึงพื้น
2 ความชื้นในอากาศ หิมะต้องการไอน้ำในปริมาณที่เพียงพอในบรรยากาศ หากอากาศแห้ง การเกิดหิมะจะลดลง
.

.
3 แกนควบแน่น (Condensation Nuclei) ฝุ่นละออง เกลือ หรืออนุภาคขนาดเล็กในอากาศทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางให้ไอน้ำเกาะตัวและกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง
4 ลมและการเคลื่อนตัวของอากาศ อากาศที่ลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ (uplift) ทำให้อากาศเย็นลงและเพิ่มโอกาสเกิดผลึกน้ำแข็ง ภูเขาหรือแนวเขาสามารถช่วยให้ลมพัดขึ้นสูง ทำให้เกิดหิมะบริเวณภูเขา (Orographic Snow)
5 ความดันอากาศ บริเวณความกดอากาศต่ำ (Low Pressure System) มักทำให้เกิดสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเกิดหิมะ
6 อุณหภูมิพื้นผิว หากพื้นดินมีอุณหภูมิสูงกว่า 0°C หิมะที่ตกถึงพื้นจะละลายทันที กลายเป็นน้ำแข็งหรือฝนแทน
.
ความแตกต่างของการเกิดหิมะในพื้นที่ต่าง ๆ
1 พื้นที่ที่มีอากาศหนาวและความชื้นสูง เช่น แถบขั้วโลก แคนาดา หรือยุโรปตอนเหนือ หิมะเกิดบ่อยเพราะอุณหภูมิต่ำตลอดฤดูหนาว
2 พื้นที่ภูเขา พื้นที่สูง เช่น หิมาลัย ญี่ปุ่นตอนเหนือ หรือเทือกเขาแอลป์ เกิดหิมะเนื่องจากลมพัดอากาศขึ้นสูงจนเย็นลง
3 ทะเลสาบและมหาสมุทร บริเวณที่ใกล้แหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น ทะเลสาบเอรีในสหรัฐฯ เกิดหิมะจากปรากฏการณ์ Lake Effect Snow ซึ่งลมพัดเอาความชื้นจากทะเลสาบขึ้นไปจนกลายเป็นหิมะ
“หิมะเกิดจากกระบวนการควบแน่นของไอน้ำในอากาศในสภาพอากาศที่เย็นจัด โดยมีปัจจัยสำคัญ ได้แก่ อุณหภูมิต่ำ ความชื้นในอากาศ และแกนควบแน่น การเกิดหิมะยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในพื้นที่นั้น ๆ เช่น ความสูงและลักษณะของภูมิประเทศ หากไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้ อากาศเย็นเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดหิมะได้”
.
Lake Effect Snow คืออะไร?
Lake Effect Snow เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดหิมะจำนวนมากในพื้นที่ใกล้ทะเลสาบหรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เมื่ออากาศเย็นจัดพัดผ่านผิวน้ำที่ยังคงมีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเยือกแข็ง ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างอากาศและน้ำทำให้เกิดความชื้นในอากาศ ซึ่งนำไปสู่การก่อตัวของหิมะ

.
กระบวนการเกิด Lake Effect Snow
1 อากาศเย็นจัดพัดผ่านแหล่งน้ำอุ่น เมื่ออากาศเย็นจากแผ่นดินใหญ่ (เช่น ลมหนาวจากไซบีเรียหรืออาร์กติก) พัดผ่านทะเลสาบหรือแหล่งน้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำจะระเหยและเพิ่มความชื้นในอากาศ
2 อากาศชื้นลอยขึ้นและเย็นตัว อากาศที่ได้รับความชื้นจากน้ำจะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศที่เย็นกว่า(อย่างที่คุณทราบว่าหิมะเกิดจากความชื้นและความเย็นที่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง) และเริ่มเกิดการควบแน่น (condensation) ก่อตัวเป็นเมฆ
3 การก่อตัวของผลึกน้ำแข็ง เมื่ออากาศเย็นจัดต่อไป ไอน้ำในเมฆจะเปลี่ยนสถานะเป็นผลึกน้ำแข็ง และรวมตัวกันเป็นเกล็ดหิมะ
4 ลมพัดหิมะตกบนฝั่ง ลมหรือกระแสลมที่พัดจากทะเลสาบหรือแหล่งน้ำ จะพาหิมะตกหนักในพื้นที่ที่อยู่ด้านปลายลมของทะเลสาบ (leeward side)
.
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Lake Effect Snow
1 อุณหภูมิของน้ำและอากาศ ความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิของน้ำ (อุ่น) และอากาศ (เย็น) ยิ่งมาก หิมะที่เกิดขึ้นจะยิ่งหนาแน่น
2 ความยาวของทะเลสาบหรือแหล่งน้ำ (Fetch) หากลมพัดผ่านทะเลสาบยาว ๆ (มีระยะทางที่ลมสัมผัสน้ำมาก) จะทำให้หิมะตกหนักขึ้น เนื่องจากอากาศมีเวลาสะสมความชื้นได้นาน
3 ลักษณะภูมิประเทศ บริเวณที่มีภูเขาหรือพื้นที่สูงด้านปลายลมจะเพิ่มโอกาสให้หิมะตกหนัก เพราะอากาศชื้นจะถูกยกตัวสูงขึ้นเมื่อพัดชนภูเขา (orographic effect)
4 ความเร็วและทิศทางของลม ลมที่พัดแรงและสม่ำเสมอช่วยเพิ่มการสะสมของหิมะในพื้นที่ปลายลม
.
ตัวอย่างพื้นที่ที่เกิด Lake Effect Snow
1 สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ทะเลสาบทั้ง 5 แห่งในแถบ Great Lakes (Lake Erie, Lake Ontario, Lake Superior, Lake Michigan, Lake Huron) มักเกิดหิมะหนักในช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะในเมืองอย่าง Buffalo, New York และ Cleveland, Ohio
2 ญี่ปุ่น บริเวณชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น เช่น จังหวัดนีงาตะ (Niigata) และ กุนมะ (Gunma) ได้รับอิทธิพลจาก Sea of Japan Effect Snow เมื่อกระแสลมเย็นจากไซบีเรียพัดผ่านทะเลญี่ปุ่น
.
ผลกระทบของ Lake Effect Snow
1 หิมะตกหนักในระยะเวลาสั้น ใกล้ทะเลสาบหรือแหล่งน้ำอาจได้รับหิมะหนาหลายสิบเซนติเมตรถึงหลายเมตรภายในไม่กี่ชั่วโมง
2 สภาพอากาศแปรปรวน พื้นที่ด้านปลายลมของทะเลสาบมักประสบกับสภาพอากาศเลวร้าย เช่น ทัศนวิสัยต่ำ และอากาศหนาวจัด
3 การขนส่งและการใช้ชีวิต หิมะที่ตกหนักอาจทำให้การขนส่งหยุดชะงัก ถนนถูกปิด และต้องการการดูแลและจัดการหิมะที่ดี
Lake Effect Snow เป็นผลจากลมเย็นจัดพัดผ่านทะเลสาบหรือแหล่งน้ำอุ่น ส่งผลให้ความชื้นในอากาศเปลี่ยนเป็นหิมะที่ตกหนักในพื้นที่ด้านปลายลมของทะเลสาบ ปรากฏการณ์นี้มักเกิดในพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น ทะเลสาบ Great Lakes ในสหรัฐฯ หรือทะเลญี่ปุ่น และเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าความชื้นในอากาศมีบทบาทสำคัญต่อการเกิดหิมะค่ะ
.
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้หิมะตกมากหรือตกน้อย
กระบวนการก่อตัวของหิมะ มีความซับซ้อนและต้องอาศัยทั้ง อุณหภูมิ และ ความชื้น ที่เหมาะสม หากในระหว่างกระบวนการก่อตัวของหิมะเกิดการเปลี่ยนแปลงของอากาศ เช่น อุณหภูมิสูงขึ้น หรือ ความชื้นในอากาศลดลง สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้มีดังนี้
.
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออากาศอุ่นขึ้นระหว่างกระบวนการก่อตัวของหิมะ 🤔

.
1 หิมะอาจสลายตัวก่อนตกถึงพื้น หากอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นจนเกิน 0°C ในระหว่างที่เกล็ดหิมะกำลังก่อตัวหรือเริ่มตกลงมา หิมะอาจละลายกลายเป็นฝนหรือไอน้ำ รวมถึงไอน้ำที่เกิดขึ้นอาจลอยขึ้นไปในอากาศ และหากกลับไปเจอสภาพเย็นจัดอีกครั้งในอนาคต ก็อาจเริ่มกระบวนการก่อตัวของหิมะใหม่
2 ความชื้นต่ำทำให้หิมะไม่สามารถก่อตัวสมบูรณ์ได้ ในพื้นที่ที่อากาศแห้ง แม้จะมีไอน้ำอยู่ในอากาศ แต่หากความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ ไอน้ำจะไม่เพียงพอในการควบแน่นและเกาะตัวกับแกนควบแน่น กระบวนการจึงหยุดชะงัก
.


.
เปรียบเทียบกรณีกรุงโซล (เกาหลีใต้) และบริเวณชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น จังหวัดนีงาตะ (Niigata) และ กุนมะ (Gunma)
กรุงโซล (Seoul, South Korea) อุณหภูมิในช่วงหน้าหนาวมักต่ำกว่า 0°C อย่างต่อเนื่อง แต่บางครั้งความชื้นในอากาศต่ำ เนื่องจากโซลอยู่ใกล้แผ่นดินใหญ่ (แหล่งที่มาของความชื้นน้อยกว่า) รวมถึงมีลมหนาวจากไซบีเรียมักทำให้อากาศเย็นแห้ง ส่งผลให้มีหิมะตกไม่บ่อย แม้จะหนาวจัด
.

.
นิงาตะ กุนมะ (Niigata-Gunma, Japan) แม้อุณหภูมิอาจสูงกว่าโซล แต่กุนมะได้รับอิทธิพลจาก Lake Effect Snow ซึ่งเกิดจากลมที่พัดเอาความชื้นจากมหาสมุทรญี่ปุ่น (Sea of Japan) ผ่านเข้ามา รวมถึงความชื้นในอากาศสูงกว่ามาก ทำให้มีไอน้ำในบรรยากาศเพียงพอที่จะก่อตัวเป็นหิมะหนาแน่น
.

“ดังนั้นหากในระหว่างที่หิมะกำลังก่อตัว อากาศอุ่นขึ้นหรือความชื้นในอากาศลดลง หิมะอาจไม่ก่อตัวสมบูรณ์ และไอน้ำอาจระเหยกลับไปในบรรยากาศ ตัวอย่างของกรุงโซลและกุนมะสะท้อนให้เห็นว่า ความชื้น มีบทบาทสำคัญในการเกิดหิมะ แม้ว่าอุณหภูมิของโซลจะต่ำกว่า แต่หิมะตกน้อยกว่า เพราะอากาศแห้งกว่ากุนมะที่มีความชื้นสูงกว่า ถึงแม้ว่าอุณหภูมิต่ำจะเป็นเงื่อนไขพื้นฐานสำหรับการเกิดหิมะ แต่ความชื้นในอากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พื้นที่หนึ่งมีหิมะมากกว่าอีกพื้นที่หนึ่ง”
.
อากาศหนาวและหิมะ กับสิ่งที่นักท่องเที่ยวมือใหม่ต้องรู้
หลายคนอยากไปเที่ยวหิมะครั้งแรก ต้องลางานหรือเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อที่จะได้เจอหิมะ แต่เมื่อได้ไปเที่ยวถึงสถานที่จริงแล้วกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ด้วยความคิดที่ว่าจะต้องพบกับหิมะขาวฟูเต็มท้องถนน
อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าปัจจัยของการเกิดหิมะนั้นอยู่ที่ความชื้นในอากาศ+อุณภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งที่ 0 องศา ถ้าอุณหภูมิไม่นิ่งมีขึ้นๆลงๆ กลางวันสูงกว่า 0 องศา แต่กลางคืนต่ำกว่า 0 องศา หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หิมะจะไม่สามารถก่อตัวและตกลงมาได้ หรือหากหิมะได้ตกลงมาในช่วงกลางคืนหรือตอนเช้ามืดแต่พอสายๆอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นมากกว่า 0 องศาหิมะก็จะละลาย เมื่ออุณหภูมสูงกว่า0องศาหิมะจะไม่ได้อยู่ในสภาวะเยือกแข็งอีกต่อไป หิมะที่ตกลงมาก็จะค่อยๆละลายหายไป แต่ถ้าหิมะตกลงมามาก ทับถมกันมากหลายชั้นจะยังไม่ละลายในทันทีเพราะขณะนั้นอุณหภูมิยังต่ำกว่า0องศาอยู่ แต่หากพออุณหภูมิสูงขึ้น หิมะก็จะค่อยๆละลายไป โดยอาจต้องใช้เวลาประมาณ1-2วันถึงจะละลายหมด ยิ่งถ้าไม่มีหิมะตกลงมาซ้ำด้วยแล้ว ภาพฝันของหลายคนที่จะเห็นพื้นถนนบ้านเรือนเป็นสีขาวก็จะยากที่จะตรงตามฝัน
.


.
สิ่งที่ดีคือการเช็คอุณหภูมิก่อนในช่วงวางแผนไปเที่ยวว่าช่วงที่เราไปเที่ยวนั้นอุณหภูมิต้องต่ำกว่า0องศา ห้ามเกินอย่างเด็ดขาดและให้อยู่นิ่งๆแบบนั้น(ติดลบ)เป็นเวลาหลายวันและอยู่ในช่วงที่อยู่ในการประกาศหรือสำรวจมาแล้วว่าในพื้นที่นั้นที่คุณจะไปจะมีหิมะตกทับถมในช่วงไหน หมั่นดูพยากรณ์อากาศบ่อยๆ คุณก็สามารถเที่ยวหน้าหนาวที่มีหิมะได้อย่างมีความสุข ได้พบเจอกับหิมะแน่นอน
.

.
การเตรียมเครื่องแต่งกายเมื่อไปเที่ยวเมืองหนาที่อุณหภูมิ10-18องศา
มื่อไปเที่ยวเมืองหนาวที่อุณหภูมิ 10-18 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่า เย็นสบายถึงหนาวเล็กน้อย การเตรียมเครื่องแต่งกายควรเน้นการป้องกันความเย็นเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น และยังคงความคล่องตัวในการเดินทางหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยสามารถใช้แนวทางต่อไปนี้
.
เครื่องแต่งกายที่แนะนำ
1. เสื้อผ้าชั้นใน (Inner Layer) ควรเลือก เสื้อชั้นในแบบเนื้อบาง หรือเสื้อแขนยาวแบบบางที่ให้ความอบอุ่น เช่น เสื้อ Heattech หรือเสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าสังเคราะห์ที่เก็บความร้อน สำหรับคนที่รู้สึกหนาวง่าย อาจเพิ่มเสื้อชั้นในอีก 1 ชั้น เช่น เสื้อกล้ามหรือเสื้อคอตั้งบาง ๆ
2. เสื้อผ้าชั้นกลาง (Middle Layer) ใส่ เสื้อกันหนาวแบบบางถึงกลาง เช่น เสื้อคาร์ดิแกน ,เสื้อสเวตเตอร์ หรือเสื้อฮู้ดผ้าฝ้าย/ผ้าถัก ,แจ็คเก็ตผ้าฟลีซ (Fleece) ที่เบาแต่เก็บความร้อนได้ดี
3. เสื้อผ้าชั้นนอก (Outer Layer) หากอยู่กลางแจ้งนาน ๆ ควรมี แจ็คเก็ตหรือโค้ทเบา ๆ ที่สามารถกันลมและความเย็น เช่น แจ็คเก็ตแบบกันลม (Windbreaker) ,แจ็คเก็ตยีนส์/หนังพร้อมซับใน และหากมีลมแรง เลือกแจ็คเก็ตที่กันน้ำเล็กน้อย (Water-resistant) ด้วย
4. กางเกง เลือกกางเกงขายาว เช่น กางเกงยีนส์ ,กางเกงสกินนี่ยืดที่ซับด้านในด้วยผ้าฟลีซ ,กางเกงชิโน (Chino) หรือกางเกงผ้าแบบหนาที่ใส่สบาย
5. รองเท้า เลือกรองเท้าที่ให้ความอบอุ่น เช่น รองเท้าผ้าใบ (Sneakers) พร้อมถุงเท้าแบบหนา ,รองเท้าบูทแบบสั้น (Ankle Boots) ที่กันลมและความเย็น และสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง อาจเลือก รองเท้าที่กันน้ำ ได้หากพื้นเปียก
6. ถุงเท้า สวม ถุงเท้าหนานุ่ม เพื่อรักษาความอบอุ่นที่เท้าและเลือกถุงเท้าที่ทำจากผ้าขนสัตว์ (Wool) หรือผ้าฝ้ายที่ให้ความอบอุ่นได้ดี
7. เครื่องประดับเสริม ผ้าพันคอ เลือกผ้าพันคอที่ทำจากผ้าขนสัตว์หรือผ้าฝ้าย เพื่อเพิ่มความอบอุ่นบริเวณคอ ,หมวก หากอากาศเย็นจัด หรือในตอนกลางคืน อาจใส่หมวกไหมพรมหรือหมวกเบเร่ต์ ,ถุงมือ สำหรับคนที่มือเย็นง่าย อาจพกถุงมือแบบบางติดตัว
.

.
ตัวอย่างการแต่งตัว
– หญิงสาวเที่ยวเมืองหนา เสื้อแขนยาวไหมพรม + สเวตเตอร์ + แจ็คเก็ตยีนส์ + กางเกงยีนส์ + รองเท้าผ้าใบ + ผ้าพันคอ
– ชายหนุ่มเดินเล่นกลางแจ้ เสื้อฮู้ด + แจ็คเก็ตกันลม + กางเกงชิโน + รองเท้าบูท + หมวกไหมพรม
ในอุณหภูมิ 10-18 องศาเซลเซียส เน้นการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลายชั้นที่ให้ความอบอุ่นพอเหมาะ เช่น เสื้อแขนยาว แจ็คเก็ตบาง และถุงเท้าอบอุ่น แต่ยังคงความคล่องตัว เพื่อให้สะดวกสบายสำหรับการเดินทางและทำกิจกรรมต่าง ๆ
.
การเตรียมเครื่องแต่งกายเมื่อไปเที่ยวเมืองหนาที่อุณหภูมิ0 – 9องศา
มื่อไปเที่ยวเมืองหนาวที่อุณหภูมิ 0 ถึง 9 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าเป็นระดับหนาวเย็นที่อาจเริ่มทำให้รู้สึกไม่สบายตัว โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับอากาศเย็น การเตรียมเครื่องแต่งกายควรเน้นให้ความอบอุ่นกับร่างกาย พร้อมป้องกันลมและความชื้นอย่างเหมาะสม
.


.
เครื่องแต่งกายที่แนะนำ
1. เสื้อผ้าชั้นใน (Base Layer) ชั้นในควรช่วยเก็บความร้อนและระบายความชื้น เสื้อชั้นในแบบ Heattech หรือผ้าขนสัตว์บาง (Merino Wool) กางเกงเลกกิ้งหรือกางเกงซับในแบบบางเพื่อป้องกันขาเย็น และควรเลือกเนื้อผ้าที่แนบเนื้อและไม่ทำให้อึดอัด
2. เสื้อผ้าชั้นกลาง (Middle Layer) เสื้อชั้นกลางเน้นเพิ่มความอบอุ่น เสื้อสเวตเตอร์ไหมพรม หรือเสื้อฟลีซ (Fleece) น้ำหนักเบาแต่เก็บความร้อนได้ดี และหากอยู่กลางแจ้งนาน ควรใช้เสื้อฮู้ดหรือแจ็คเก็ตบางที่มีซับในเพิ่มความอบอุ่น
3. เสื้อผ้าชั้นนอก (Outer Layer) ชั้นนอกควรเน้นป้องกันลมและความชื้น ,แจ็คเก็ตกันลม (Windbreaker) หรือเสื้อกันหนาวขนเป็ด (Down Jacket) ขนาดกลาง ,โค้ทที่มีคุณสมบัติกันน้ำ (Water-resistant) ในกรณีที่มีโอกาสเจอละอองฝนหรือหิมะ และหากเดินเที่ยวในเมือง อาจเลือกเสื้อโค้ทที่มีสไตล์ เช่น โค้ทขนสัตว์หรือโค้ทหนัง
4. กางเกง ควรเลือกกางเกงที่ให้ความอบอุ่นและป้องกันลม กางเกงยีนส์บุขนด้านใน หรือกางเกงที่ซับด้านในด้วยผ้าฟลีซ และหากต้องเดินทางกลางแจ้งนาน อาจเพิ่มเลกกิ้งซับในด้านล่างกางเกงอีกชั้น
5. รองเท้า รองเท้าควรอบอุ่นและป้องกันน้ำ ,รองเท้าบูทแบบสั้น (Ankle Boots) พร้อมถุงเท้าแบบหนา ,รองเท้าผ้าใบที่บุซับในหรือมีฉนวนเก็บความร้อน และหากมีโอกาสเจอหิมะ ควรใช้รองเท้าที่มีพื้นกันลื่น
6. ถุงเท้า เลือกถุงเท้าขนสัตว์หรือผ้าที่ให้ความอบอุ่นดี เช่น Wool Socks หรือถุงเท้าผ้าขนหนู
7. เครื่องประดับเสริม ผ้าพันคอ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นที่คอและป้องกันลม ,หมวก หมวกไหมพรม หรือหมวกที่ปิดศีรษะและใบหูได้ ,ถุงมือ ถุงมือผ้าขนสัตว์หรือถุงมือแบบบางที่ให้ความอบอุ่นและป้องกันลม ,แว่นตากันลม หากอยู่ในพื้นที่ที่มีลมแรง อาจใช้แว่นตากันลมเพื่อป้องกันดวงตา
.
ตัวอย่างการแต่งตัว
– สำหรับผู้หญิง เสื้อ Heattech + สเวตเตอร์ฟลีซ + แจ็คเก็ตขนเป็ด + กางเกงยีนส์บุขนด้านใน + รองเท้าบูท + ผ้าพันคอ + หมวกไหมพรม
– สำหรับผู้ชาย เสื้อชั้นในระบายความชื้น + เสื้อฮู้ด + โค้ทกันลม + กางเกงชิโนบุฟลีซ + รองเท้าผ้าใบซับใน + ถุงมือ + ผ้าพันคอ
อุณหภูมิ 0-9 องศาเซลเซียส ต้องเน้นการแต่งตัวที่อบอุ่นและป้องกันลม ด้วยเสื้อผ้าหลายชั้นที่ช่วยเก็บความร้อน เช่น เสื้อ Heattech สเวตเตอร์ แจ็คเก็ตขนเป็ด และกางเกงบุขน รวมถึงอุปกรณ์เสริม เช่น หมวก ผ้าพันคอ และถุงมือ เพื่อให้สามารถเพลิดเพลินกับการเดินทางได้โดยไม่รู้สึกหนาวเกินไป
.
การเตรียมเครื่องแต่งกายเมื่อไปเที่ยวเมืองหนาที่อุณหภูมิ -1 ถึง – 9องศา
เมื่อไปเที่ยวเมืองหนาวที่อุณหภูมิ -1 ถึง -10 องศาเซลเซียส การเตรียมเครื่องแต่งกายต้องเน้นที่ การป้องกันความหนาวอย่างเต็มที่ และการปกป้องร่างกายทุกส่วน โดยเฉพาะปลายมือ ปลายเท้า และใบหน้า ที่เสี่ยงต่อความเย็นจนเกิดอาการชาได้เร็ว
.


.
เครื่องแต่งกายที่แนะนำ
1. เสื้อผ้าชั้นใน (Base Layer) เลือกชั้นในที่ช่วยเก็บความร้อนและระบายความชื้น เสื้อและกางเกง Heattech Extreme หรือแบบที่หนากว่าปกติ ,เสื้อผ้าขนสัตว์บาง (Merino Wool) หรือผ้าใยสังเคราะห์ที่ให้ความอบอุ่น
2. เสื้อผ้าชั้นกลาง (Middle Layer) ชั้นกลางช่วยเพิ่มความอบอุ่นและป้องกันลมเย็น ,เสื้อสเวตเตอร์ไหมพรม หรือเสื้อฟลีซ (Fleece) ,เสื้อแจ็คเก็ตขนเป็ด (Down Jacket) ขนาดกลาง
3. เสื้อผ้าชั้นนอก (Outer Layer) ชั้นนอกเน้นการป้องกันลมและความชื้น ,แจ็คเก็ตขนเป็ดหนา หรือโค้ทกันลมและกันน้ำ (Waterproof Coat) เลือกเสื้อที่มีฮู้ดหรือขนบุรอบคอเพื่อป้องกันความเย็นบริเวณใบหน้า และหากอยู่ในพื้นที่หิมะตก เลือกเสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติกันน้ำและลื่น
4. กางเกง กางเกงที่เหมาะสมสำหรับความหนาวจัด กางเกงสกีหรือกางเกงบุขนด้านใน (Insulated Pants) และหากใช้กางเกงยีนส์ ควรใส่เลกกิ้งหรือกางเกงซับในอีกชั้น
5. รองเท้า รองเท้าที่ป้องกันความหนาวและลื่น รองเท้าบูทกันน้ำและกันลื่น (Waterproof & Anti-slip Boots) เลือกรองเท้าที่บุขนด้านในเพื่อเพิ่มความอบอุ่น รวมถึงถุงเท้าขนสัตว์ (Wool Socks) หรือถุงเท้าหนาแบบพิเศษ
6. เครื่องประดับเสริม ผ้าพันคอ ใช้ผ้าพันคอขนสัตว์หรือผ้าฟลีซที่หนานุ่มเพื่อป้องกันลม ,หมวก หมวกไหมพรมที่ปิดใบหู หรือหมวกที่มีขนบุด้านใน ,ถุงมือ ถุงมือกันน้ำและกันลม พร้อมบุขนด้านใน หรือถุงมือหนังแบบมีซับใน ,หน้ากากหรือผ้าคลุมหน้า เพื่อป้องกันใบหน้าสัมผัสลมเย็น ,แว่นตากันลม หากอยู่ในพื้นที่มีลมแรงหรือหิมะตก ควรใช้แว่นเพื่อปกป้องดวงตา
.
ตัวอย่างการแต่งตัว
– สำหรับผู้หญิง เสื้อชั้นใน Heattech + สเวตเตอร์ฟลีซ + แจ็คเก็ตขนเป็ดหนา + กางเกงบุขนด้านใน + รองเท้าบูทกันลื่น + ผ้าพันคอ + หมวกไหมพรม + ถุงมือหนังบุขน
– สำหรับผู้ชาย เสื้อชั้นในระบายความชื้น + เสื้อสเวตเตอร์ไหมพรม + โค้ทกันลม + กางเกงสกี + รองเท้าบูทบุขนด้านใน + ผ้าพันคอ + ถุงมือ + หมวกคลุมใบหู
ในอุณหภูมิ -1 ถึง -10 องศาเซลเซียส ควรสวมเสื้อผ้าหลายชั้นที่เน้นการเก็บความร้อนและป้องกันลม พร้อมอุปกรณ์เสริมที่ช่วยป้องกันใบหน้า มือ และเท้า เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและสบายตลอดการเดินทางในสภาพอากาศหนาวจัดนี้
.
การเตรียมเครื่องแต่งกายเมื่อไปเที่ยวเมืองหนาที่อุณหภูมิ -11 ถึงต่ำกว่านั้น
เมื่อไปเที่ยวเมืองหนาวที่อุณหภูมิ -11°C หรือต่ำกว่า ซึ่งเป็นระดับความหนาวจัดที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้อย่างรวดเร็ว การเตรียมเครื่องแต่งกายต้องเน้นการปกป้องทุกส่วนของร่างกายอย่างครบถ้วนและเต็มที่ เพื่อป้องกันอาการชาหรือภาวะเนื้อเยื่อแช่แข็ง (frostbite)
.

.
เครื่องแต่งกายที่แนะนำ
1. เสื้อผ้าชั้นใน (Base Layer) เลือกเสื้อผ้าที่ช่วยเก็บความร้อนและระบายความชื้น ,เสื้อและกางเกง Heattech Extra Warm หรือ Extreme ,เสื้อผ้าขนสัตว์บาง (Merino Wool) หรือเสื้อชั้นในที่ออกแบบมาสำหรับอุณหภูมิติดลบ และควรหลีกเลี่ยงผ้าฝ้าย เพราะจะดูดซับความชื้นและทำให้รู้สึกเย็น
2. เสื้อผ้าชั้นกลาง (Middle Layer) ชั้นกลางช่วยเพิ่มฉนวนกันความเย็น เสื้อสเวตเตอร์หนา หรือเสื้อฟลีซ (Fleece) ที่มีน้ำหนักเบาแต่เก็บความร้อนได้ดี รวมถึงหากต้องการความอบอุ่นเพิ่ม อาจเลือกเสื้อแจ็คเก็ตขนเป็ดบางในชั้นนี้
3. เสื้อผ้าชั้นนอก (Outer Layer) ชั้นนอกป้องกันลมและหิมะ ,เสื้อโค้ทกันหนาวขนเป็ด (Down Jacket) ที่มีความหนาพิเศษ, เสื้อกันน้ำและลม (Waterproof & Windproof) เพื่อป้องกันหิมะหรือน้ำแข็งที่อาจเกาะบนเสื้อผ้า และควรเลือกเสื้อโค้ทที่มีฮู้ดและขนบุรอบคอ เพื่อเพิ่มการปกป้องใบหน้า
4. กางเกง กางเกงที่เหมาะสมสำหรับความหนาวจัด กางเกงสกีที่บุขนด้านใน หรือกางเกงแบบ Insulated Pants รวมถึงหากสวมกางเกงยีนส์ ควรเพิ่มเลกกิ้งซับในที่มีฉนวนกันความเย็น
5. รองเท้า รองเท้าแบบกันหนาวและกันลื่น ,รองเท้าบูทกันน้ำ (Waterproof Boots) ที่บุขนด้านในและมีพื้นกันลื่น ,ถุงเท้าขนสัตว์ (Wool Socks) แบบหนาเพื่อเพิ่มความอบอุ่น และหากอากาศหนาวจัดมาก สามารถใส่ถุงเท้าสองชั้นเพื่อป้องกันความเย็น
6. เครื่องประดับเสริม ผ้าพันคอ ควรใช้ผ้าพันคอขนสัตว์หรือผ้าฟลีซที่หนาและปกปิดคออย่างมิดชิด ,หมวก หมวกไหมพรม หรือหมวกกันหนาวที่ปิดใบหู และบุขนด้านใน ,ถุงมือ เลือกถุงมือแบบกันน้ำและลม พร้อมบุขนด้านใน หรือถุงมือที่มีฉนวนความร้อนพิเศษ ,หน้ากากหรือผ้าคลุมหน้า เพื่อป้องกันใบหน้าสัมผัสอากาศเย็นโดยตรง และแว่นตากันลมและหิมะ สำหรับพื้นที่ที่มีลมแรงหรือหิมะตกหนัก
.
ตัวอย่างการแต่งตัว
– สำหรับผู้หญิง เสื้อ Heattech Extra Warm + สเวตเตอร์ฟลีซ + แจ็คเก็ตขนเป็ดหนา + กางเกงสกี + รองเท้าบูทบุขน + ผ้าพันคอ + หมวกไหมพรม + ถุงมือกันน้ำ
– สำหรับผู้ชาย เสื้อขนสัตว์บาง + เสื้อแจ็คเก็ตฟลีซ + โค้ทขนเป็ดแบบหนา + กางเกง Insulated Pants + รองเท้ากันน้ำ + หมวกคลุมใบหู + ผ้าคลุมหน้า
ในอุณหภูมิ -11°C หรือต่ำกว่า การแต่งกายต้องเน้นความอบอุ่นและการป้องกันลม ความชื้น และหิมะ โดยสวมเสื้อผ้าหลายชั้น และใช้อุปกรณ์เสริมที่ช่วยปกป้องใบหน้า มือ และเท้า เพื่อให้เพลิดเพลินกับการเดินทางได้อย่างปลอดภัยในสภาพอากาศที่หนาวจัดขนาดนี้
.
อากาศหนาวและหิมะ เป็นเสน่ห์ที่ชาวไทยซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีความหนาวเย็นให้สะใจเสียเท่าไหร่ โดยเฉพาะ”หิมะ”ด้วยแล้วละก็ยิ่งไม่มีให้เห็น การจะไปเที่ยวได้แต่ละทีสำหรับไครหลายคนที่ไม่ได้ร่ำรวยเสียเท่าไหร่นั้นก็จะต้องอาศัยการเก็บเงินหลายเดือนเลยทีเดียว เพื่อจะได้ไปสัมผัสประสบการณ์ที่ประเทศบ้านเกิดมีให้ไม่ได้แบบนี้ การไปแล้วจะต้องคุ้มค่าอย่างสูงสุด การวางแผนและเตรียมตัวที่ดีจากความรู้ในบทความนี้จะสามารถช่วยให้คุณเที่ยวได้อย่างมีความสุข เพราะคุณจะเข้าใจระดับความหนาว หิมะ และการแต่งกายได้ในบทความนี้

>>ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของเราได้ที่ช่องทางนี้ คลิก
กลับหน้าหลัก HOME
“เรามุ่งมั่นที่จะทำทัวร์ท่องเที่ยวให้แตกต่างจากทั่วไป สถานที่ที่คุณจะได้ไปนั้นนอกจากจะได้ท่องเที่ยวพักผ่อนไปกับเราแล้วเรายังเปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้กับคุณอีกด้วย กับแผนการเดินทางที่แตกต่างและไม่จำเจเหมือนกับทั่วๆไป อีกทั้งคุณยังได้รับการดูแลและมีบริการที่แตกต่าง ให้คุณเปรียบเสมือนคนพิเศษ ให้ได้รู้สึกสัมผัสการไปเที่ยวไม่เหมือนใคร และจะประทับใจแบบไม่มีทางลืมได้เลย..” คุณสามารถติดต่อหาเราได้ตามช่องทางข้างล่างนี้เพื่อเลือกเคมเปญที่เหมาะสมที่สุดให้กับคุณ
💬 ติดต่อเราได้เลย!


Comment (0)