อาหารอินเดีย | อาหารที่มีรสชาติเข้มข้น หอมเครื่องเทศ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
.
อาหารอินเดีย เป็นหนึ่งในอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สุดในโลก ด้วยการผสมผสานของเครื่องเทศอันหลากหลาย กลิ่นหอมเย้ายวน และรสชาติที่เข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นแกงกะหรี่ หมากพานีร์ หรือโรตี อาหารอินเดียสะท้อนถึงวัฒนธรรม ประเพณี และความหลากหลายของแต่ละภูมิภาค วันนี้ผมจะพาคุณไปรู้จักกับเสน่ห์ของอาหารอินเดียให้มากขึ้น ทั้งวัตถุดิบหลัก เทคนิคการปรุง และเมนูยอดนิยมที่ไม่ควรพลาดครับ
.
อาหารอินเดีย | สตรีทฟู้ดอินเดียโด่งดังเพราะอะไร? ทำไมต้องไปลองเมื่อไปเที่ยว?
.
เพราะสตรีทฟู้ดอินเดียโด่งดังเพราะรสชาติที่จัดจ้านและเอกลักษณ์เฉพาะตัวครับ โดย อาหารอินเดีย แต่ละจานมักเต็มไปด้วยเครื่องเทศที่ให้กลิ่นหอมเย้ายวนและรสสัมผัสที่หลากหลาย ทั้งเผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็ม ครบในคำเดียว นอกจากนี้ผมว่าอาหารข้างทางยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของแต่ละภูมิภาค เช่น Pani Puri ที่พบได้ทั่วประเทศ Vada Pav จากมุมไบ หรือ Kathi Roll จากโกลกาตา ซึ่งทำให้ผู้ที่มาเยือนได้สัมผัสความหลากหลายของอาหารอินเดียแบบดั้งเดิมในราคาที่ไม่แพงอีกด้วย

.
ถ้าการได้ไปลองสตรีทฟู้ดในอินเดียนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของรสชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆด้วยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการยืนกินข้างทางพร้อมกับคนท้องถิ่น ได้ชมวิธีการปรุงอาหารแบบสดๆ และสัมผัสชีวิตชีวาของตลาดอินเดียที่เต็มไปด้วยเสียงเรียกขาย กลิ่นเครื่องเทศ และบรรยากาศคึกคัก ทำให้การชิมสตรีทฟู้ดกลายเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของการท่องเที่ยวในอินเดียที่ไม่ควรพลาดเลยครับ
.
อาหารอินเดีย | ความสะอาดและสุขอนามัย
.
ผมว่าหลายคนอาจกังวลเรื่องความสะอาดของสตรีทฟู้ดอินเดีย เนื่องจากพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่มักใช้มือเปล่าในการเตรียมอาหาร และสภาพแวดล้อมข้างทางก็อาจไม่ถูกสุขอนามัยตามมาตรฐานที่คุณคุ้นเคย แต่อย่างไรก็ตาม ผมแนะนำให้เลือกซื้ออาหารจากร้านที่มีลูกค้าหนาแน่น เพราะแสดงถึงความนิยมและหมุนเวียนของวัตถุดิบที่สดใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารที่เตรียมไว้นานเกินไป หรือร้านที่ดูไม่สะอาด และควรสังเกตการปรุงอาหารแบบสดๆ ต่อหน้าต่อตา ซึ่งช่วยให้มั่นใจมากขึ้น

.
นอกจากนี้ การเปิดใจและเตรียมตัวให้พร้อม เช่น การพกแอลกอฮอล์เจลล้างมือ หรือเลือกทานเมนูที่ผ่านความร้อนสูง เช่น Masala Dosa, Tandoori Chicken, หรือ Chole Bhature ที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขอนามัย ก็จะทำให้เราสามารถสนุกกับการชิมสตรีทฟู้ดได้อย่างมั่นใจ หากเลือกอย่างชาญฉลาดและเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ผมรับรองว่าการลิ้มลองอาหารข้างทางของอินเดียจะกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่น่าตื่นเต้นที่สุดของการเดินทางแน่นอน
.
20 เมนู ที่ต้องลอง หากไม่ลองถือว่าไปไม่ถึง!!
.
เมนูอาหารคาว
.
1. Butter Chicken (Murgh Makhani) | ไก่เนื้อนุ่มในซอสมะเขือเทศเนย
Butter Chicken (Murgh Makhani) เป็นหนึ่งใน อาหารอินเดีย ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก มีต้นกำเนิดจากกรุงเดลีในช่วงปี 1950 โดยร้านอาหาร Moti Mahal คิดค้นขึ้นโดยบังเอิญจากการนำไก่ทันดูรีที่เหลือมาปรุงใหม่ในซอสมะเขือเทศเข้มข้นผสมเนยและครีม สูตรนี้กลายเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วและแพร่หลายไปทั่วอินเดียและต่างประเทศ วิธีทำโดยคร่าวๆ คือ ไก่หมักในโยเกิร์ตและเครื่องเทศก่อนนำไปย่าง จากนั้นนำไปเคี่ยวในซอสมะเขือเทศที่ใส่เครื่องเทศอย่าง Garam Masala, Kasuri Methi (ใบ Fenugreek แห้ง), และครีมสด เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม
รสชาติของ Butter Chicken นั้นเข้มข้น หอมกลิ่นเครื่องเทศ แต่ไม่เผ็ดมาก เนื้อไก่นุ่มละลายในปาก ซอสมีความครีมมี่จากเนยและครีม ทำให้เป็นเมนูที่รับประทานง่าย นิยมทานคู่กับ Naan หรือ Basmati Rice เพื่อซึมซับรสชาติซอสให้อร่อยยิ่งขึ้น เมนูนี้เป็นที่ชื่นชอบของทั้งชาวอินเดียและนักท่องเที่ยวครับ เพราะให้สัมผัสที่อ่อนโยนกว่าหลายเมนูแกงของอินเดีย

.
ราคาโดยประมาณ 200-500 รูปีอินเดีย (80-200 บาท) ต่อจาน ขึ้นอยู่กับร้านอาหาร
หาทานได้ที่ไหนบ้าง ร้านอาหารอินเดียทั่วประเทศ โดยเฉพาะใน เดลี, มุมไบ, ไฮเดอราบาด, และอักรา ร้านชื่อดัง เช่น Moti Mahal (Delhi), Bukhara (Delhi), และ Karim’s (Delhi)
.
2. Rogan Josh | แกงแกะเผ็ดร้อนจากแคชเมียร์
Rogan Josh เป็นแกงแกะเข้มข้นที่มีต้นกำเนิดจากแคว้นแคชเมียร์ โดยได้รับอิทธิพลจากอาหารเปอร์เซียและมุสลิมโมกุล คำว่า “Rogan” หมายถึงน้ำมันหรือไขมัน ส่วน “Josh” แปลว่าไฟแรงหรือความร้อนแรง ซึ่งสะท้อนถึงวิธีการปรุงที่ใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวนานๆ เพื่อให้เครื่องเทศซึมซับเข้าสู่เนื้อแกะ แกงชนิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Wazwan ซึ่งเป็นชุดอาหารสุดหรูของแคชเมียร์ นิยมใช้เครื่องเทศเช่น พริกแคชเมียร์ (Kashmiri Red Chili), ยี่หร่า, อบเชย, กระวาน, กานพลู และใบกระวาน เพื่อให้เกิดรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัว

.
รสชาติของ Rogan Josh นั้นมีความเข้มข้น เผ็ดร้อนแต่ไม่จัดจ้านเกินไป เพราะพริกแคชเมียร์ให้สีแดงสวยแต่ไม่เผ็ดมาก เนื้อแกะจะถูกเคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม และซอสจะมีเนื้อสัมผัสเข้มข้นจากโยเกิร์ตและไขมันที่ออกมาจากเนื้อแกะ รสชาติจะมีความหอมมันจากเครื่องเทศและน้ำมันที่แยกตัวออกมา นิยมรับประทานคู่กับ ข้าวบาสมาติหรือแป้งนาน เพื่อช่วยซึมซับรสชาติของแกงให้กลมกล่อมยิ่งขึ้นครับ
ราคาโดยประมาณ 300-700 รูปีอินเดีย (120-280 บาท) ต่อจาน ขึ้นอยู่กับร้านอาหาร
หาทานได้ที่ไหนบ้าง ร้านอาหารในแคชเมียร์, เดลี, มุมไบ และร้านอาหารมุสลิมชื่อดัง เช่น Ahdoos (Srinagar), Karim’s (Delhi), และ Dum Pukht (Delhi, Mumbai)
.
3. Hyderabadi Biryani | ข้าวหมกเนื้อแกะหรือไก่สูตรไฮเดอราบาด
Hyderabadi Biryani เป็นหนึ่งในเมนูข้าวหมกที่โด่งดังที่สุดของอินเดียเลยนะครับ โดยมีต้นกำเนิดจากเมืองไฮเดอราบาด ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอาหารเปอร์เซียและมุสลิมโมกุลในยุคของ Nizams แห่งไฮเดอราบาด ข้าวหมกชนิดนี้โดดเด่นจากการใช้ข้าวบาสมาติคุณภาพดี ผสมกับเนื้อไก่หรือเนื้อแกะที่หมักเครื่องเทศอย่างละเอียด ก่อนนำไปปรุงด้วยเทคนิค Dum Cooking ซึ่งเป็นการอบและเคี่ยวในหม้อปิดสนิท เพื่อให้กลิ่นหอมของเครื่องเทศซึมซับเข้าไปในข้าวอย่างทั่วถึง
รสชาติของ Hyderabadi Biryani นั้นมีความเข้มข้นจากเครื่องเทศหลากหลาย เช่น กระวาน, กานพลู, อบเชย, หญ้าฝรั่น, มิ้นต์ และโยเกิร์ต ทำให้ข้าวมีรสชาติกลมกล่อม หอมกลิ่นเนยใส (Ghee) และเนื้อสัตว์ที่นุ่มลิ้น ข้าวหมกสูตรนี้มีทั้งแบบ Kacchi Biryani (หมักเนื้อดิบแล้วนำไปหุงพร้อมข้าว) และ Pakki Biryani (ทำแกงเนื้อก่อนแล้วนำไปอบกับข้าว) นิยมรับประทานคู่กับ Raita (โยเกิร์ตผสมผัก), Mirchi Ka Salan (แกงพริกเขียว), และ Boiled Egg เพื่อเพิ่มรสชาติได้อย่างดี

.
ราคาโดยประมาณ 250-600 รูปีอินเดีย (100-240 บาท) ต่อจาน ขึ้นอยู่กับร้านอาหารและประเภทของเนื้อ
หาทานได้ที่ไหนบ้าง เมืองไฮเดอราบาดเป็นศูนย์กลางของ Biryani ที่แท้จริง ร้านดังได้แก่ Paradise Biryani (Hyderabad), Bawarchi (Hyderabad), และ Shah Ghouse (Hyderabad) นอกจากนี้ ยังสามารถหาทานได้ในเมืองใหญ่ เช่น เดลี และมุมไบ
.
4. Dal Makhani | แกงถั่วดำเนื้อเข้มข้น
Dal Makhani เป็นแกงถั่วดำที่มีรสชาติเข้มข้นและเป็นเอกลักษณ์ของอาหารอินเดียตอนเหนือ โดยเฉพาะแคว้นปัญจาบ มีต้นกำเนิดจากร้าน Moti Mahal ในกรุงเดลี ซึ่งเป็นร้านเดียวกับที่คิดค้น Butter Chicken สูตรนี้ได้รับความนิยมในหมู่ชาวซิกข์และชาวปัญจาบมานานหลายศตวรรษ วิธีทำแบบดั้งเดิมคือการใช้ถั่วดำ (Black Lentils) และถั่วแดง (Kidney Beans) มาต้มจนเปื่อย ก่อนนำไปเคี่ยวกับมะเขือเทศ เนยใส (Ghee) และเครื่องเทศ เช่น กระวาน อบเชย และพริกป่น โดยจะใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวนานหลายชั่วโมงเพื่อให้ได้รสสัมผัสที่นุ่มละมุน
รสชาติของ Dal Makhani นั้นจะมีความเข้มข้น มันและหอมกลิ่นเครื่องเทศแบบละมุน ไม่เผ็ดมาก แต่มีความกลมกล่อมจากเนยและครีมที่เติมลงไปในขั้นตอนสุดท้าย ซอสมีความข้นกำลังดี และมักรับประทานคู่กับ Naan, Roti หรือ Basmati Rice เพื่อให้รสชาติละมุนยิ่งขึ้น เป็นเมนูที่เหมาะกับทั้งมังสวิรัติและคนที่ต้องการลองอาหารอินเดียแบบต้นตำรับครับ

.
ราคาโดยประมาณ 150-400 รูปีอินเดีย (60-160 บาท) ต่อจาน ขึ้นอยู่กับร้านอาหาร
หาทานได้ที่ไหนบ้าง พบได้ทั่วไปในร้านอาหารอินเดียตอนเหนือ โดยเฉพาะใน เดลี, อัมริตซาร์, และจัณฑีครห์ ร้านดังที่แนะนำ ได้แก่ Moti Mahal (Delhi), Kesar Da Dhaba (Amritsar), และ Gulati (Delhi)
.
5. Paneer Butter Masala | แกงชีสสดในซอสมะเขือเทศและเครื่องเทศ
Paneer Butter Masala เป็นหนึ่งในเมนูแกงมังสวิรัติยอดนิยมของอินเดีย โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศ มีต้นกำเนิดจากอาหารปัญจาบ และได้รับอิทธิพลจาก Butter Chicken แต่ใช้ Paneer (ชีสสดอินเดีย) แทนเนื้อสัตว์ Paneer Butter Masala มีความคล้ายกับ Shahi Paneer ซึ่งเป็นแกงชีสในซอสมะเขือเทศและครีม แต่มีรสชาติที่เข้มข้นจากเนยและเครื่องเทศมากกว่าครับ มีวิธีทำโดยคร่าวๆ คือการนำมะเขือเทศมาปรุงเป็นซอสเข้มข้น ผสมกับ เครื่องเทศอย่างกระวาน อบเชย กานพลู และ Garam Masala จากนั้นใส่เนยและครีมสดเพื่อเพิ่มความละมุน และสุดท้ายจึงใส่ Paneer ลงไปเคี่ยวจนซึมซับรสชาติ
รสชาติของ Paneer Butter Masala จะหอมมันจากเนยและครีม ซอสมีรสหวานเล็กน้อยจากมะเขือเทศ และมีความเข้มข้นจากเครื่องเทศอินเดีย แต่ไม่เผ็ดมาก ทำให้เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวและผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารอินเดียรสจัด นิยมรับประทานคู่กับ Naan, Roti หรือ Basmati Rice เพื่อให้ซึมซับซอสได้อย่างเต็มที่ ถือเป็นเมนูที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลองอาหารอินเดียแบบต้นตำรับแต่ไม่ต้องการรสเผ็ดจัด

.
ราคาโดยประมาณ 180-450 รูปีอินเดีย (70-180 บาท) ต่อจาน ขึ้นอยู่กับร้านอาหาร
หาทานได้ที่ไหนบ้าง สามารถหาทานได้ทั่วอินเดีย โดยเฉพาะใน เดลี, มุมไบ, และอัมริตซาร์ ร้านดังที่แนะนำ ได้แก่ Pind Balluchi (Delhi), Kesar Da Dhaba (Amritsar), และ Cream Centre (Mumbai)
.
6. Tandoori Chicken | ไก่หมักเครื่องเทศย่างเตาทันดูร์
Tandoori Chicken เป็นเมนูไก่ย่างเครื่องเทศที่มีต้นกำเนิดจากแคว้นปัญจาบและคุณเชื่อหรือไม่ว่าเมนูนี้กลายเป็นหนึ่งในอาหารอินเดียที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และมีประวัติย้อนกลับไปถึงยุคจักรวรรดิโมกุล แต่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายหลังจากที่ร้าน Moti Mahal ในกรุงเดลีเริ่มจำหน่ายในช่วงปี 1940 วิธีทำแบบดั้งเดิมคือการนำไก่ไปหมักกับ โยเกิร์ตและเครื่องเทศ เช่น Garam Masala, ยี่หร่า, ผงขมิ้น, กระเทียม, ขิง และพริกป่นแคชเมียร์ จากนั้นนำไปย่างในเตา Tandoor ซึ่งเป็นเตาอบดินเหนียวที่ใช้ความร้อนจากถ่านไม้ ทำให้ไก่มีรสชาติหอมกลิ่นควันและเครื่องเทศซึมซับเข้าไปในเนื้อ
รสชาติของ Tandoori Chicken นั้นมีความเผ็ดร้อนเล็กน้อยจากพริกและเครื่องเทศต่างๆ แต่ก็มีความนุ่มละมุนจากโยเกิร์ตที่ช่วยให้เนื้อไก่ไม่แห้งเกินไป เปลือกด้านนอกกรอบเล็กน้อยจากการย่างในเตาถ่าน มีกลิ่นหอมของเครื่องเทศและควันที่เป็นเอกลักษณ์ นิยมเสิร์ฟพร้อมกับ ซอส Mint Chutney, หอมแดงฝานบาง, และมะนาวฝาน หรือรับประทานคู่กับ Naan หรือ Rotiเพื่อเพิ่มความอร่อย

.
ราคาโดยประมาณ 250-600 รูปีอินเดีย (100-240 บาท) ต่อจาน ขึ้นอยู่กับขนาดและร้านอาหาร
หาทานได้ที่ไหนบ้าง ร้านอาหารอินเดียทั่วประเทศ โดยเฉพาะใน เดลี, อัมริตซาร์, ลัคเนา และมุมไบ ร้านดังที่แนะนำ ได้แก่ Moti Mahal (Delhi), Bukhara (Delhi), Karim’s (Delhi), และ Kesar Da Dhaba (Amritsar)
.
7. Goan Fish Curry | แกงปลาสไตล์รัฐกัว รสเปรี้ยวเผ็ด
Goan Fish Curry เป็นแกงปลาสไตล์รัฐกัวที่ได้รับอิทธิพลจากทั้งอาหารพื้นเมืองอินเดียและอาหารโปรตุเกส เพราะเนื่องจากกัวเคยเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสมายาวนาน สูตรแกงปลานี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยใช้ เครื่องเทศร้อนแรง น้ำมะขามเปียก และกะทิ ผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้น เปรี้ยว เผ็ด และมันจากกะทิ วิธีทำโดยทั่วไปคือการนำปลาทะเลสด เช่น ปลากะพงแดง (Kingfish), ปลาทูน่า หรือปลากะตัก มาต้มในซอสมะเขือเทศผสมกับเครื่องเทศ เช่น ขมิ้น ยี่หร่า เมล็ดผักชี และพริกแคชเมียร์ เพื่อให้เกิดรสชาติที่กลมกล่อม
รสชาติของ Goan Fish Curry นั้นจะมีความโดดเด่นจากรสเปรี้ยวของน้ำมะขามและมะนาว ผสมกับความเผ็ดร้อนของพริกและกลิ่นหอมของเครื่องเทศ น้ำแกงจะมีความข้นจากกะทิที่ช่วยให้รสชาติมีความละมุนขึ้น และเข้ากันได้ดีกับข้าวหุงร้อนๆ ถือเป็นอาหารประจำถิ่นของรัฐกัวที่ได้รับความนิยมมากทั้งในหมู่ชาวพื้นเมืองและนักท่องเที่ยว นิยมรับประทานคู่กับ ข้าวบาสมาติหรือแป้ง Roti เพื่อช่วยซึมซับรสชาติของน้ำแกง

.
ราคาโดยประมาณ 250-600 รูปีอินเดีย (100-240 บาท) ต่อจาน ขึ้นอยู่กับร้านอาหารและประเภทของปลา
หาทานได้ที่ไหนบ้าง พบได้ทั่วไปในร้านอาหารทะเลและร้านอาหารพื้นเมืองของรัฐ กัว ร้านดังที่แนะนำ ได้แก่ Fisherman’s Wharf (Goa), Ritz Classic (Goa), และ Vinayak Family Restaurant (Goa)
.
8. Laal Maas | แกงแกะรสเผ็ดจากรัฐราชสถาน
Laal Maas นั้นเป็นแกงแกะรสเผ็ดจัดจ้านที่มีต้นกำเนิดจากรัฐราชสถาน ประเทศอินเดียครับ ซึ่งเดิมทีเป็นอาหารของนักล่าและราชวงศ์ ใช้เนื้อเกมป่าหรือเนื้อแกะปรุงด้วยเครื่องเทศเข้มข้น โดยจุดเด่นของแกงนี้คือการใช้ พริกแคชเมียร์และพริก Mathania ซึ่งให้สีแดงสดและรสเผ็ดร้อนจัดจ้าน สูตรดั้งเดิมไม่มีมะเขือเทศและโยเกิร์ตเหมือนแกงอินเดียทั่วไป แต่ใช้ หอมแดง กระเทียม ขิง กานพลู และกระวานดำ เป็นฐานของรสชาติ และเคี่ยวกับเนื้อแกะจนเปื่อยนุ่มรับประทานง่าย
รสชาติของ Laal Maas จะมีความเผ็ดร้อนจัดจ้านและมีกลิ่นเครื่องเทศที่เข้มข้น น้ำแกงข้นจากไขมันที่ออกมาจากเนื้อแกะระหว่างการเคี่ยว มีรสเผ็ดลึกจากพริกและความหอมจากเครื่องเทศอบแห้ง นิยมรับประทานคู่กับ ข้าวบาสมาติ หรือแป้งบาจราโรตี (Bajra Roti) ซึ่งเป็นแป้งข้าวฟ่างของราชสถาน ช่วยตัดความเผ็ดและทำให้รสชาติเข้ากันเป็นอย่างดี ถือเป็นเมนูที่ต้องลองสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสเผ็ด

.
ราคาโดยประมาณ 300-700 รูปีอินเดีย (120-280 บาท) ต่อจาน ขึ้นอยู่กับร้านอาหาร
หาทานได้ที่ไหนบ้าง สามารถพบได้ในร้านอาหารราชสถาน โดยเฉพาะใน ชัยปุระ, โชธปุระ และอุไดปุระ ร้านแนะนำ ได้แก่ Handi Restaurant (Jaipur), Kalinga Restaurant (Jodhpur), และ Natraj Dining Hall (Udaipur)
.
9. Malabar Parotta with Beef Curry | โรตีสไตล์มาลาบาร์เสิร์ฟคู่แกงเนื้อ
Malabar Parotta with Beef Curry เป็นอาหารยอดนิยมจากแคว้นเกรละและรัฐทมิฬนาฑู ทางตอนใต้ของอินเดีย Malabar Parotta นั้นเป็นแป้งโรตีที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารเปอร์เซียและอาหรับ โดยมีลักษณะเป็นแผ่นแป้งชั้นๆ คล้ายพาราทาหรือโรตีของอินเดีย แต่เนื้อแป้งนุ่มและมีความกรอบเล็กน้อยจากการทอดด้วยเนยใส (Ghee) หรือ น้ำมัน ส่วน Beef Curry เป็นแกงเนื้อรสเข้มข้น ปรุงด้วยเครื่องเทศใต้แบบอินเดีย เช่น ใบแกง (Curry Leaves), อบเชย, กระวาน, เมล็ดผักชี และพริกป่น โดยจะใช้เนื้อวัวที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม แล้วปรุงกับหัวหอม มะเขือเทศ และกะทิให้มีรสชาติกลมกล่อม
โดยรสชาติของ Malabar Parotta จะมีความมัน หอมกลิ่นเนยใส และมีเนื้อสัมผัสที่เหนียวนุ่ม ขณะที่ Beef Curry มีความเข้มข้นของเครื่องเทศและความเผ็ดร้อนจากพริกอินเดีย เนื้อวัวที่เคี่ยวจนเปื่อยทำให้ซึมซับรสชาติของเครื่องแกงได้เป็นอย่างดี เมนูนี้มักเสิร์ฟคู่กัน เพราะแป้งพาราทาสามารถซึมซับน้ำแกงและช่วยให้รสชาติสมดุล เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของแคว้นเกรละและรัฐทมิฬนาฑู โดยเฉพาะในหมู่ชาวมุสลิมและชุมชนท้องถิ่น

.
ราคาโดยประมาณ 200-500 รูปีอินเดีย (80-200 บาท) ต่อชุด ขึ้นอยู่กับร้านอาหาร
หาทานได้ที่ไหนบ้าง สามารถพบได้ทั่วไปในแคว้น เกรละและรัฐทมิฬนาฑู โดยเฉพาะในเมือง โคชิ, ธิรุวนันทปุรัม และมาดูไรร้านแนะนำ ได้แก่ Paragon Restaurant (Kozhikode), Rahmath Hotel (Madurai), และ Buhari Hotel (Chennai)
.
10. Bamboo Chicken (Bongulo Chicken) | ไก่ย่างในกระบอกไม้ไผ่ จากเผ่าทางตะวันออกเฉียงเหนือ
Bamboo Chicken (Bongulo Chicken) จะเป็นอาหารพื้นเมืองที่มีต้นกำเนิดจากเผ่าในแถบ รัฐอานธรประเทศ และรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีป่าไม้ไผ่หนาแน่น เทคนิคการปรุงอาหารในกระบอกไม้ไผ่นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากวิธีการทำอาหารของชนเผ่าที่ใช้วัสดุธรรมชาติในการประกอบอาหาร นั่นก็คือการนำไก่มาหมักกับเครื่องเทศพื้นเมือง ขมิ้น พริกป่น ใบแกง และเกลือ ใส่ลงไปในกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นจึงนำไปเผาหรือย่างไฟโดยไม่ใช้น้ำมันหรือเครื่องปรุงพิเศษอื่นๆ ทำให้ได้รสชาติของไก่ที่ซึมซับความหอมจากไม้ไผ่และเครื่องเทศอย่างเต็มที่
รสชาติของ Bamboo Chicken จะมีความเป็นธรรมชาติ หอมกลิ่นควันจากไม้ไผ่และเครื่องเทศ เนื้อไก่นุ่มฉ่ำเพราะถูกอบอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ที่ช่วยกักเก็บความชื้นและรสชาติ ไม่มีการใช้น้ำมันทำให้เป็นเมนูที่ดีต่อสุขภาพและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลองอาหารพื้นเมืองแท้ๆ นิยมรับประทานคู่กับ ข้าวพื้นเมืองหรือสลัดสมุนไพร เพื่อเพิ่มความอร่อย เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวพื้นเมืองและนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสรสชาติของอาหารจากธรรมชาติ

.
ราคาโดยประมาณ 250-500 รูปีอินเดีย (100-200 บาท) ต่อชุด ขึ้นอยู่กับร้านอาหารและพื้นที่
หาทานได้ที่ไหนบ้าง สามารถพบได้ทั่วไปใน รัฐอานธรประเทศ, รัฐนากาแลนด์, รัฐอรุณาจัลประเทศ และรัฐเมฆาลัย ร้านแนะนำ ได้แก่ Bamboo House (Visakhapatnam), Tribal Kitchen (Shillong), และ Hornbill Restaurant (Kohima, Nagaland)
.
.
อาหารข้างทางและท้องถิ่น
.
11. Pani Puri (Golgappa/Puchka) | ลูกแป้งกรอบใส่น้ำปรุงรสจัดจ้าน
Pani Puri หรือที่เรียกกันในชื่อ Golgappa (แถบอินเดียเหนือ) และ Puchka (แถบอินเดียตะวันออก) เป็นสตรีทฟู้ดยอดนิยมที่มีต้นกำเนิดจากแคว้นพิหารและแพร่หลายไปทั่วอินเดียและโดงดังมาถึงประเทศไทยที่คนดังทุกคนที่ไปจะต้องไปลิ้มลองและชิมเมนูนี้กันทุกคน เมนูนี้เป็นลูกแป้งทอดกรอบกลวงข้างในที่จะถูกเจาะรูแล้วใส่ไส้ มันฝรั่งบด ถั่วชิกพี หรือมะขาม จากนั้นจึงราดด้วยน้ำปรุงรส (Pani) ซึ่งทำจากใบสะระแหน่ พริกไทย ขิง น้ำมะขาม และเครื่องเทศให้รสชาติเผ็ด เปรี้ยว และสดชื่น
รสชาติของ Pani Puri จะมีความเผ็ด เปรี้ยว หอมเครื่องเทศ และให้ความรู้สึกสดชื่นจากน้ำ Pani เมื่อกัดเข้าไป ตัวแป้งจะกรอบแตกในปากและผสมผสานกับรสชาติเครื่องปรุงข้างใน เมนูนี้นิยมรับประทานทีละคำทีละลูก และมักขายเป็นชุด 5-6 ลูก


.
ราคาโดยประมาณ 30-100 รูปีอินเดีย (12-40 บาท) ต่อชุด
หาทานได้ที่ไหนบ้าง ทั่วอินเดีย โดยเฉพาะใน เดลี, มุมไบ, โกลกาตา และลัคเนา ร้านดัง ได้แก่ Elco Pani Puri (Mumbai), Prince Chaat (Delhi), และ Vivek Puchka (Kolkata)
.
12. Vada Pav | เบอร์เกอร์สไตล์อินเดียจากมุมไบ
Vada Pav เป็นเมนูสตรีทฟู้ดชื่อดังจากเมือง มุมไบ โดยได้รับการขนานนามว่าเป็น “เบอร์เกอร์ของคนจน” เพราะเป็นอาหารราคาประหยัดแต่ให้พลังงานสูงมาก ซึ่งมีต้นกำเนิดในช่วงปี 1960 เพื่อเป็นอาหารง่ายๆ ให้กับแรงงานในโรงงาน วิธีทำคือการนำ มันฝรั่งบดปรุงเครื่องเทศ ชุบแป้งทอดกรอบ (Vada) มาวางในขนมปัง Pav แล้วราดซอสมะขามหรือซอสพริก และมักเสิร์ฟพร้อมพริกเขียวทอด
รสชาติของ Vada Pav จะมีความกรอบนอก นุ่มในจากไส้มันฝรั่งทอด หอมเครื่องเทศ และได้ความเผ็ดจากพริกเขียวและซอส นิยมรับประทานเป็นของว่างหรืออาหารเช้าสำหรับชาวมุมไบในอินเดีย

.
ราคาโดยประมาณ 20-50 รูปีอินเดีย (8-20 บาท) ต่อชิ้น
หาทานได้ที่ไหนบ้าง ทั่วเมือง มุมไบ โดยเฉพาะร้านข้างทางที่สถานีรถไฟ ร้านแนะนำ ได้แก่ Anand Stall (Mumbai), Aaram Vada Pav (Mumbai), และ Shivaji Vada Pav (Mumbai)
.
13. Pav Bhaji | ขนมปังนุ่มกับแกงผักรสเข้มข้น
Pav Bhaji มีต้นกำเนิดจาก มุมไบ เช่นเดียวกับ Vada Pav ซึ่งเดิมทีนั้นเป็นอาหารที่ถูกคิดค้นขึ้นสำหรับแรงงานท่าเรือในศตวรรษที่ 19 เป็นเมนูที่ใช้ผักหลากหลายชนิด เช่น มันฝรั่ง ถั่วลันเตา แครอท และดอกกะหล่ำ มาต้มแล้วบดให้ละเอียด ผสมกับเครื่องเทศและเนยให้ได้รสชาติเข้มข้น จากนั้นเสิร์ฟคู่กับ Pav (ขนมปังนุ่ม) ที่ปิ้งเนยจนหอม
รสชาติของ Pav Bhaji นั้นจะมีความเข้มข้นจากเครื่องเทศและเนย มีความเผ็ด หวาน และหอมกลิ่นผักที่เคี่ยวจนรสกลมกล่อม ตัวขนมปัง Pav ที่กรอบนอกนุ่มในช่วยซึมซับแกงผักได้อย่างลงตัว

.
ราคาโดยประมาณ 80-200 รูปีอินเดีย (30-80 บาท) ต่อจาน
หาทานได้ที่ไหนบ้าง นิยมใน มุมไบ, ปูเน่ และสุรัต ร้านแนะนำ ได้แก่ Sardar Pav Bhaji (Mumbai), Canon Pav Bhaji (Mumbai), และ Shiv Sagar (Mumbai)
.
14. Chole Bhature | แป้งทอดกรอบเสิร์ฟคู่แกงถั่วชิกพี
Chole Bhature คืออาหารเช้าสไตล์ปัญจาบที่ได้รับความนิยมทั่วอินเดีย มีต้นกำเนิดจากรัฐปัญจาบและมักพบได้ในร้านอาหารอินเดียตอนเหนือ วิธีทำคือ Chole เป็นแกงถั่วชิกพีที่ปรุงกับมะเขือเทศและเครื่องเทศหลากหลาย เช่น เมล็ดผักชี ยี่หร่า อบเชย และกานพลู ส่วน Bhature คือแป้งทอดกรอบที่มีเนื้อสัมผัสฟูคล้ายโปริ (Puri)
รสชาติของ Chole Bhature จะเผ็ดร้อน หอมเครื่องเทศ และมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยจากมะเขือเทศ น้ำแกงเข้มข้น เข้ากันดีกับ Bhature ที่กรอบนอก นุ่มใน นิยมเสิร์ฟพร้อมหอมแดงและพริกดอง

.
ราคาโดยประมาณ 100-250 รูปีอินเดีย (40-100 บาท) ต่อชุด
หาทานได้ที่ไหนบ้าง นิยมมากใน เดลี, จัณฑีครห์ และอมฤตสาร์ ร้านแนะนำ ได้แก่ Sita Ram Diwan Chand (Delhi), Giani’s Di Hatti (Delhi), และ Kesar Da Dhaba (Amritsar)
.
15. Masala Dosa | เครปข้าวหมักใส่มันฝรั่งและเครื่องเทศ
Masala Dosa ก็เป็นอาหารเช้าสไตล์อินเดียไต้อีกเช่นเคย ที่มีต้นกำเนิดมาจากรัฐ กรณาฏกะ จากนั้นจึงได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ วิธีทำคือการนำ แป้งข้าวและถั่วเลนทิลหมักจนเกิดความเปรี้ยว มาทำเป็นแผ่นเครปบางๆ ทอดให้กรอบ แล้วใส่ไส้มันฝรั่งผัดกับเครื่องเทศ เช่น เมล็ดมัสตาร์ด ใบแกง และขมิ้น จากนั้นม้วนเป็นทรงกระบอก นิยมเสิร์ฟคู่กับ Sambar (แกงถั่วเลนทิล) และ Chutney (น้ำจิ้มมะพร้าว)
รสชาติของ Masala Dosa นั้นจะมีความกรอบ หอมกลิ่นแป้งหมัก และไส้มันฝรั่งที่มีรสเผ็ดร้อนเล็กน้อยจากเครื่องเทศ ตัวแป้งจะมีรสเปรี้ยวอ่อนๆ จากกระบวนการหมัก เป็นเมนูที่ดีต่อสุขภาพเพราะไม่มีเนยหรือไขมันมากนัก

.
ราคาโดยประมาณ 50-150 รูปีอินเดีย (20-60 บาท) ต่อจาน
หาทานได้ที่ไหนบ้าง นิยมมากใน รัฐทมิฬนาฑู, กรณาฏกะ, เกรละ และอานธรประเทศ ร้านแนะนำ ได้แก่ MTR (Bangalore), Murugan Idli Shop (Chennai), และ Vidyarthi Bhavan (Bangalore)
.
16. Momos | เกี๊ยวสไตล์ทิเบต นิยมในรัฐสิกขิม
Momos เป็นอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากทิเบตและเนปาล ก่อนจะกลายมาเป็นหนึ่งในสตรีทฟู้ดที่ได้รับความนิยมในอินเดียในที่สุด โดยเฉพาะใน รัฐสิกขิม อรุณาจัลประเทศ และดารจีลิ่ง วิธีทำ Momos จะคล้ายกับเกี๊ยวหรือซาลาเปาของจีน โดยใช้แป้งสาลีห่อไส้ที่ทำจาก เนื้อสัตว์ (ไก่ หมู หรือแพะ) หรือผัก เช่น กะหล่ำปลี แครอท และหัวหอม จากนั้นนำไปนึ่งหรือทอด เสิร์ฟคู่กับ ซอสพริกแดงรสเผ็ด (Tomato Chutney) หรือซุปใส (Thukpa Broth)
รสชาติของ Momos ขึ้นอยู่กับไส้ที่เลือก โดย ไส้เนื้อ จะมีรสชาติเข้มข้นจากเครื่องเทศอินเดีย ส่วน ไส้ผัก จะมีรสหวานจากผักสดและกลิ่นหอมจากเครื่องเทศเล็กน้อย ตัวแป้งมีความนุ่ม เหนียวเล็กน้อย หากเป็น Momos ทอดจะมีความกรอบ นิยมรับประทานเป็นของว่างหรืออาหารจานหลักในแถบเทือกเขาหิมาลัย

.
ราคาโดยประมาณ 50-150 รูปีอินเดีย (20-60 บาท) ต่อจาน (6-10 ชิ้น)
หาทานได้ที่ไหนบ้าง นิยมมากใน รัฐสิกขิม, ดารจีลิ่ง, และรัฐอรุณาจัลประเทศ ร้านแนะนำ ได้แก่ Taste of Tibet (Gangtok), Kunga Restaurant (Darjeeling), และ Chopstick (Itanagar)
.
17. Dhokla | ขนมแป้งหมักนึ่งจากรัฐคุชราต
Dhokla เป็นอาหารว่างยอดนิยมของรัฐคุชราต โดยมีต้นกำเนิดจากอาหารมังสวิรัติของชาวคุชราตที่นิยมใช้ ถั่วเลนทิลและข้าวหมัก เป็นส่วนประกอบ วิธีทำคือการนำ แป้งเบซัน (Besan – แป้งถั่วลูกไก่) หรือข้าวบดหมัก มาผสมกับโยเกิร์ตและน้ำมะนาว จากนั้นนึ่งจนฟูและนุ่ม ก่อนราดด้วยน้ำมันมัสตาร์ดและใบแกงเพื่อเพิ่มความหอม
รสชาติของ Dhokla จะมีความเปรี้ยวอ่อนๆ จากกระบวนการหมัก เนื้อสัมผัสนุ่มและฟูคล้ายเค้ก หอมเครื่องเทศที่ราดด้านบน กินแล้วสดชื่น นิยมเสิร์ฟกับ Chutney มะพร้าวหรือมิ้นต์ และสามารถรับประทานเป็นของว่างหรือมื้อเช้าได้

.
ราคาโดยประมาณ 50-150 รูปีอินเดีย (20-60 บาท) ต่อจาน
หาทานได้ที่ไหนบ้าง พบได้ทั่ว รัฐคุชราต และในเมืองใหญ่ เช่น อาห์เมดาบัด และสุรัต ร้านแนะนำ ได้แก่ Das Khaman House (Ahmedabad), Jani Locho & Khaman House (Surat), และ Swati Snacks (Mumbai)
.
18. Litti Chokha | แป้งอบไส้ถั่วกินคู่มะเขือย่าง จากแคว้นพิหาร
Litti Chokha คืออาหารพื้นเมืองของ แคว้นพิหาร และได้รับความนิยมในรัฐใกล้เคียงอย่าง อุตตรประเทศ และฌาร์ขัณฑ์เดิมทีเป็นอาหารของชนชั้นแรงงานและเกษตรกรที่ต้องการอาหารที่ให้พลังงานสูงและพกพาสะดวก โดยวิธีทำคือ Litti (ก้อนแป้งสาลี) จะถูกยัดไส้ Sattu (แป้งถั่วลูกไก่คั่ว) ผสมกับเครื่องเทศและน้ำมันมัสตาร์ด จากนั้นนำไปย่างบนถ่านไฟอ่อนๆ หรืออบในเตาดินเหนียว ส่วน Chokha เป็นเครื่องเคียงที่ทำจาก มะเขือม่วงเผา มะเขือเทศเผา และมันฝรั่งบด ปรุงรสด้วยกระเทียม หอมแดง และพริก
รสชาติของ Litti Chokha มีความหอมจากการย่างด้วยถ่าน ตัวแป้ง Litti มีเนื้อสัมผัสหนึบและรสชาติเข้มข้นจากไส้ Sattu ที่มีรสเค็ม มัน และหอมเครื่องเทศ ส่วน Chokha จะให้รสเปรี้ยวเผ็ดและช่วยตัดเลี่ยน นิยมรับประทานเป็นอาหารหลักของชาวพิหารและเหมาะกับอากาศหนาว

.
ราคาโดยประมาณ 50-150 รูปีอินเดีย (20-60 บาท) ต่อจาน
หาทานได้ที่ไหนบ้าง นิยมมากใน แคว้นพิหาร และรัฐอุตตรประเทศ ร้านแนะนำ ได้แก่ Pind Balluchi (Patna), Bihari Khabar (Patna), และ Bhojanalaya (Varanasi)
.
.
ของหวานและเครื่องดื่ม
.
19. Jalebi | ขนมทอดกรอบราดน้ำเชื่อมหอมหวาน
Jalebi คือขนมหวานอินเดียที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันออกกลางครับ ซึ่งเดิมทีมีต้นกำเนิดจากเปอร์เซียในชื่อ Zalabiya ก่อนจะแพร่เข้าสู่อินเดียในยุคโมกุล ต่อมาจึงกลายเป็นหนึ่งในของหวานยอดนิยมไปทั่วประเทศ วิธีทำ Jalebi คือการนำแป้งหมักกับโยเกิร์ตและน้ำเล็กน้อย จากนั้นบีบลงในกระทะทอดให้เป็นรูปเกลียว แล้วนำไปแช่ในน้ำเชื่อมหอมกลิ่นกระวานและหญ้าฝรั่น ทำให้ได้ขนมที่กรอบนอก ฉ่ำน้ำเชื่อมด้านใน
รสชาติของ Jalebi จะมีความหวานฉ่ำ หอมกลิ่นน้ำเชื่อม และมีสัมผัสที่กรอบนอกแต่เหนียวนุ่มด้านใน เป็นขนมที่นิยมรับประทานเป็นของว่างหรือทานคู่กับนมอุ่น นิยมมากในช่วงเทศกาล เช่น Diwali และ Eid บางแห่งนิยมเสิร์ฟคู่กับ Rabri(นมข้นหวาน) เพื่อเพิ่มความเข้มข้น

.
ราคาโดยประมาณ 30-100 รูปีอินเดีย (12-40 บาท) ต่อจาน
หาทานได้ที่ไหนบ้าง พบได้ทั่วไปในตลาดและร้านขนมอินเดีย โดยเฉพาะใน เดลี, ชัยปุระ และอาห์เมดาบัด ร้านแนะนำ ได้แก่ Old Famous Jalebi Wala (Delhi), Laxmi Misthan Bhandar (Jaipur), และ Chandni Chowk Sweet Shop (Delhi)
.
20. Lassi (Mango/Sweet/Salted) | โยเกิร์ตปั่นสดชื่น
Lassi เป็นเครื่องดื่มโยเกิร์ตปั่นที่มีต้นกำเนิดจากรัฐปัญจาบ และเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดียเลยก็ว่าได้ ซึ่งเดิมทีเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นและปรับสมดุลระบบย่อยอาหารในสภาพอากาศร้อนของอินเดีย มีหลายประเภท ได้แก่ Sweet Lassi (โยเกิร์ตปั่นกับน้ำตาลและกระวาน), Salted Lassi (โยเกิร์ตปั่นกับเกลือและเครื่องเทศ), และ Mango Lassi (โยเกิร์ตปั่นกับมะม่วงสุก) บางสูตรอาจเติมหญ้าฝรั่นหรือถั่วบดเพื่อเพิ่มรสชาติ
รสชาติของ Lassi จะขึ้นอยู่กับประเภทที่เลือก Sweet Lassi จะมีรสหวานละมุน หอมกลิ่นกระวาน Salted Lassi จะมีรสเค็มอ่อนๆ สดชื่น และช่วยย่อยอาหาร ส่วน Mango Lassi จะมีรสเปรี้ยวอมหวานจากมะม่วงและโยเกิร์ต เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยดับกระหายและเหมาะกับอากาศร้อนของอินเดีย

.
ราคาโดยประมาณ 50-200 รูปีอินเดีย (20-80 บาท) ต่อแก้ว
หาทานได้ที่ไหนบ้าง นิยมมากใน ปัญจาบ, เดลี, และวาราณสี ร้านแนะนำ ได้แก่ Amritsari Lassi Wala (Amritsar), Blue Lassi (Varanasi), และ Gian di Lassi (Delhi)
.
ผมว่า อาหารอินเดีย นั้นเป็นมากกว่ามื้ออาหารทั่วไป แต่อาหารอินเดียสามารถสะท้อนวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของแต่ละภูมิภาคได้ ตั้งแต่แกงเข้มข้นอย่าง Butter Chicken และ Rogan Josh ไปจนถึงสตรีทฟู้ดยอดนิยมเช่น Pani Puri และ Vada Pav โดยอาหารแต่ละจานจะเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศและรสชาติที่หลากหลายโดยนอกจากนี้ยังมีขนมหวานและเครื่องดื่ม เช่น Jalebi และ Lassi ที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์การกินการชิม อาหารอินเดียจะทำให้อินเดียเป็นจุดหมายปลายทางของนักชิมทั่วโลกรวมถึงคุณ

.
อาหารอินเดีย ถ้าหากคุณมีโอกาสเดินทางไปอินเดีย การได้ลองอาหารท้องถิ่นและสตรีทฟู้ดเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรพลาดครับ เพราะนอกจากจะได้ลิ้มรสชาติที่แท้จริงของอาหารอินเดียแล้ว ยังเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ที่เต็มไปด้วยสีสันและเรื่องราวของวัฒนธรรม หากคุณพร้อมที่จะสัมผัสความเข้มข้นและเสน่ห์ของอาหารอินเดียแล้ว ถ้าคุณลองเปิดใจที่จะดื่มด่ำกับเมนูที่หลากหลาย แล้วคุณอาจพบกับรสชาติที่ถูกใจและกลายเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจในการเดินทางของคุณอย่างไม่รู้ลืมแน่นอนครับ
.
>>ที่เที่ยวอินเดียมีอะไรควรไปบ้าง ถ้านึกไม่ออก คลิกเลย
.
ชอบบทความและสนันสนุนให้กำลังใจเราชาวเอสพี ทำไงดีนะ…?
1. กดแชร์ต่อ ให้เพื่อนอ่านบทความดีๆบ้าง
2. คลิก Like และ ติดตามเราได้ที่ Facebook https://facebook.com/spregaltravel/
“เรามุ่งมั่นที่จะทำทัวร์ท่องเที่ยวให้แตกต่างจากทั่วไป สถานที่ที่คุณจะได้ไปนั้นนอกจากจะได้ท่องเที่ยวพักผ่อนไปกับเราแล้วเรายังเปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้กับคุณอีกด้วย กับแผนการเดินทางที่แตกต่างและไม่จำเจเหมือนกับทั่วๆไป อีกทั้งคุณยังได้รับการดูแลและมีบริการที่แตกต่าง ให้คุณเปรียบเสมือนคนพิเศษ ให้ได้รู้สึกสัมผัสการไปเที่ยวไม่เหมือนใคร และจะประทับใจแบบไม่มีทางลืมได้เลย..” คุณสามารถติดต่อหาเราได้ตามช่องทางข้างล่างนี้เพื่อเลือกเคมเปญที่เหมาะสมที่สุดให้กับคุณ
💬 ติดต่อเราได้เลย!

Comment (0)