ไต้หวัน 中華民國 | ประเทศหมู่เกาะที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ
ไต้หวัน 中華民國 หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐจีน (Republic of China – ROC) เป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่สำคัญของเอเชียตะวันออก แม้จะเป็นเพียงเกาะที่มีพื้นที่ 35,808 ตารางกิโลเมตร แต่กลับมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก ทั้งในด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การค้า และวัฒนธรรม ด้วยประชากรกว่า 23 ล้านคน ไต้หวันถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก พร้อมด้วยระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มั่นคง
นอกจากความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจแล้ว ไต้หวันยังเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลจีนดั้งเดิม วัฒนธรรมญี่ปุ่นจากยุคอาณานิคม และกระแสโลกาภิวัตน์ที่เข้ามามีบทบาท ปัจจุบัน ไต้หวันได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว ด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันงดงาม เมืองที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และอาหารสตรีทฟู้ดที่มีเอกลักษณ์
แม้ว่าจะมีสถานะการปกครองที่ซับซ้อนและยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากนานาชาติว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ไต้หวันยังคงรักษาอำนาจอธิปไตยของตนเองและดำรงอยู่ในฐานะหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเชีย ด้วยระบบเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นนำ และวัฒนธรรมที่มีเสน่ห์ ไต้หวันจึงเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจที่ควรค่าแก่การสำรวจ

ประวัติศาสตร์ของไต้หวัน ไต้หวันมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ยุคของชนพื้นเมืองดั้งเดิม ก่อนจะมีอิทธิพลจากชาวจีนแผ่นดินใหญ่และการเข้ามาของชาวตะวันตกในศตวรรษที่ 17 ภายหลังถูกปกครองโดยราชวงศ์ชิงและตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ไต้หวันกลับคืนสู่จีน แต่จากสงครามกลางเมืองจีน ไต้หวันได้กลายเป็นที่ตั้งของรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งและพัฒนาเป็นรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ แม้ว่าจะยังคงเป็นประเด็นถกเถียงระหว่างจีนและประชาคมโลก การเปลี่ยนผ่านทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ทำให้ไต้หวันเป็นดินแดนที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ทั้งทางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งจะได้รับการกล่าวถึงอย่างละเอียดในส่วนถัดไป
ภาพรวมของไต้หวัน ไต้หวัน นั้นหรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐจีน (Republic of China – ROC) เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ จินเหมิน (金門), ไต้หวัน, เผิงหู (澎湖), หมาจู่ (馬祖), และอูชิว (烏坵) รวมทั้งเกาะเล็กเกาะน้อยอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดเรียกรวมกันว่า “พื้นที่ไต้หวัน” (臺灣地區)
เกาะไต้หวันมีพื้นที่ 35,808 ตารางกิโลเมตร มีภูมิประเทศที่หลากหลาย โดยมีเทือกเขาครอบคลุมพื้นที่สองในสามของเกาะทางด้านตะวันออก ส่วนทางตะวันตกเป็นที่ราบซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ไต้หวันมีพรมแดนทางทะเลติดกับจีนแผ่นดินใหญ่ทางทิศตะวันตก ญี่ปุ่นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และฟิลิปปินส์ทางทิศใต้ เมืองหลวงของไต้หวันคือ กรุงไทเป (Taipei) ส่วนเมืองใหญ่อื่น ๆ ได้แก่ เกาสฺยง (Kaohsiung), ไถจง (Taichung), ไถหนาน (Tainan), และเถา-ยฺเหวียน (Taoyuan)

ไต้หวัน | ลักษณะทางภูมิศาสตร์
ไต้หวันเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันออกของจีนแผ่นดินใหญ่ โดยมีช่องแคบไต้หวัน (Taiwan Strait) กั้นกลางระหว่างทั้งสอง ไต้หวันยังมีพรมแดนทางทะเลติดกับญี่ปุ่นทางตะวันออกเฉียงเหนือและฟิลิปปินส์ทางใต้ ลักษณะภูมิประเทศของไต้หวันมีความหลากหลายสูง ประกอบด้วยเทือกเขา ที่ราบชายฝั่ง และที่ราบลุ่มแม่น้ำ พื้นที่ส่วนใหญ่ของไต้หวันเป็นภูเขาสูงชัน โดยเฉพาะในภาคตะวันออกของเกาะ
ลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่นที่สุดของไต้หวันคือ เทือกเขากลาง (Central Mountain Range) ซึ่งทอดตัวยาวจากเหนือจรดใต้ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 70% ของเกาะ ภูเขาที่สูงที่สุดของไต้หวันคือ ยอดเขาหยู่ซาน (Yushan) หรือที่เรียกกันว่า ภูเขาหยก มีความสูง 3,952 เมตร ถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ยังมีเทือกเขาสำคัญอื่น ๆ เช่น เทือกเขาเสวี่ยซาน (Xueshan Range)และเทือกเขาต้าอู่ซาน (Dawu Mountain Range)

ที่ราบของไต้หวันส่วนใหญ่อยู่ทางตะวันตกของเกาะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่และศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ไทเป เกาสฺยง และไถจง พื้นที่เหล่านี้เหมาะแก่การเพาะปลูกและการตั้งถิ่นฐานของประชากรส่วนใหญ่ เนื่องจากมีแม่น้ำสำคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำจว๋อลั่ว (Zhuoshui River) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดของไต้หวัน และแม่น้ำต้านสุ่ย (Tamsui River) ซึ่งไหลผ่านกรุงไทเป
ไต้หวันยังมีแนวชายฝั่งที่หลากหลาย โดยชายฝั่งทางตะวันตกส่วนใหญ่เป็นชายฝั่งแบบน้ำตื้นและมีที่ราบชายฝั่งกว้างขวาง ในขณะที่ชายฝั่งตะวันออกมีหน้าผาสูงชันและแนวหินที่ถูกกัดเซาะโดยคลื่นลมมหาสมุทร ทำให้เกิดจุดชมวิวที่สวยงาม เช่น อุทยานธรณีเย่หลิ่ว (Yehliu Geopark) และหน้าผาเฉิงชุ่ย (Qingshui Cliffs)

ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงและที่ราบต่ำใกล้ชายฝั่ง ไต้หวันมีสภาพอากาศที่หลากหลาย ตั้งแต่อากาศหนาวเย็นในพื้นที่ภูเขาสูง ไปจนถึงสภาพอากาศร้อนชื้นในที่ราบลุ่ม นอกจากนี้ ไต้หวันยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากพายุไต้ฝุ่นในช่วงฤดูฝน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชากรอย่างต่อเนื่อง
ไต้หวัน | สภาพภูมิอากาศ
ไต้หวันตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน (Tropical Monsoon Climate) และภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นกึ่งร้อน (Subtropical Humid Climate) โดยลักษณะของภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับระดับความสูงและทำเลที่ตั้งของเกาะ เนื่องจากไต้หวันเป็นเกาะที่มีเทือกเขาสูงและอยู่ในเส้นทางของลมมรสุม ทำให้มีปริมาณฝนตกชุกและได้รับอิทธิพลจากพายุไต้ฝุ่นในช่วงฤดูฝน
ฤดูกาลในไต้หวัน
1. ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม) อุณหภูมิอยู่ในช่วง 15-25 องศาเซลเซียส มีฝนตกประปรายและอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น และเป็นช่วงที่ดอกซากุระและดอกไม้หลายชนิดเริ่มบาน ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
2. ฤดูร้อน (มิถุนายน – กันยายน) มีอุณหภูมิสูงเฉลี่ย 25-35 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสูง เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปี โดยบางวันอุณหภูมิอาจสูงเกิน 38 องศาเซลเซียส รวมถึงไต้หวันได้รับอิทธิพลจากพายุไต้ฝุ่น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ทำให้เกิดฝนตกหนักและลมแรง
3. ฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคม – พฤศจิกายน) มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20-28 องศาเซลเซียส มีอากาศเย็นสบายและมีความชื้นลดลง รวมถึงเป็นฤดูกาลที่เหมาะกับการท่องเที่ยว เพราะมีท้องฟ้าปลอดโปร่งและธรรมชาติเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองแดง
4. ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) มีอุณหภูมิเฉลี่ย 10-20 องศาเซลเซียส ในบางพื้นที่อาจลดต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะบริเวณภูเขาสู โดยเขตเมืองใหญ่เช่น ไทเป อาจมีอากาศเย็นและมีฝนตกประปราย ในขณะที่พื้นที่ภูเขาสูง เช่น อุทยานแห่งชาติอาลีซาน อาจมีหิมะตก โดยฤดูหนาวของไต้หวันนั้นไม่รุนแรงมาก แต่ยังคงมีลมหนาวพัดผ่านจากจีนแผ่นดินใหญ่

ไต้หวันมีอากาศที่หลากหลายขึ้นอยู่กับพื้นที่และฤดูกาล นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำอุ่น คุโรชิโอะ (Kuroshio Current) ซึ่งช่วยทำให้อุณหภูมิของเกาะไม่เย็นจัดแม้อยู่ในช่วงฤดูหนาว แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง อุณหภูมิในพื้นที่ยอดเขาอาจแตกต่างจากพื้นที่ราบอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบจากสภาพอากาศ
– ไต้หวันมักเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นเฉลี่ยปีละ 3-4 ลูก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มในบางพื้นที่
– ในช่วงฤดูฝน ปริมาณน้ำฝนสูงส่งผลดีต่อการเกษตร แต่ก็อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในเมืองใหญ่
– อุณหภูมิที่อบอุ่นตลอดปีทำให้ไต้หวันเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงที่มีอากาศเย็นสบาย
” ด้วยภูมิอากาศที่มีเอกลักษณ์ ไต้หวันจึงเป็นประเทศที่สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี และมีความหลากหลายของสภาพอากาศให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสในแต่ละฤดูกาล “
ไต้หวัน | ประวัติศาสตร์
1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์และชนพื้นเมือง
ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ไต้หวันเป็นดินแดนที่มีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปี หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในพื้นที่ต่าง ๆ ของเกาะ เช่น ซากฟอสซิลและเครื่องมือหิน แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ยุคหินอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ประมาณ 20,000-30,000 ปีที่แล้ว วัฒนธรรมโบราณของไต้หวันในช่วงแรกนั้นเกี่ยวข้องกับกลุ่มชนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับชาวพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีความสัมพันธ์กับกลุ่มออสโตรนีเซียน ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่กระจายตัวไปยังหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก
หลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญ ได้แก่ วัฒนธรรมชางปิน (Changbin Culture) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของผู้คนในยุคหินเก่าตอนปลายที่พบในภาคตะวันออกของไต้หวัน เครื่องมือหินที่ขุดพบจากบริเวณนี้บ่งชี้ถึงการล่าสัตว์และการเก็บพืชเป็นอาหาร ต่อมา วัฒนธรรมโบราณได้พัฒนาไปสู่ยุคหินใหม่ เช่น วัฒนธรรมต้าปิงติง (Dapenkeng Culture) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่มีการทำเครื่องปั้นดินเผาและเกษตรกรรมเบื้องต้น การค้นพบร่องรอยของชุมชนยุคนี้แสดงให้เห็นว่า มีการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร การทำเครื่องปั้นดินเผาที่ซับซ้อนขึ้น และอาจมีการเริ่มต้นแลกเปลี่ยนสินค้ากับดินแดนใกล้เคียง
กลุ่มชนพื้นเมืองไต้หวันในปัจจุบันสืบเชื้อสายมาจากชาวออสโตรนีเซียน ซึ่งอพยพมายังไต้หวันราว 6,000 ปีก่อน และพัฒนาวัฒนธรรมของตนเองขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของเกาะ ปัจจุบัน ไต้หวันยังคงมีชนพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเอง เช่น ชนเผ่าอามิส (Amis), อะตายาล (Atayal), ไพวัน (Paiwan) และเผ่าอื่น ๆ อีกมากมาย พวกเขามีภาษาพื้นเมือง วัฒนธรรม และประเพณีที่โดดเด่น ซึ่งยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้จนถึงปัจจุบัน
2. การเข้ามาของชาวจีนแผ่นดินใหญ่และอิทธิพลของราชวงศ์หมิง
การติดต่อระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันเริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะในช่วงราชวงศ์ถังและซ่ง มีบันทึกเกี่ยวกับการค้าขายและการเดินเรือระหว่างชาวจีนแผ่นดินใหญ่กับดินแดนไต้หวัน อย่างไรก็ตาม การตั้งถิ่นฐานของชาวจีนในไต้หวันยังคงเป็นไปในลักษณะชั่วคราว และมีเพียงกลุ่มพ่อค้าหรือนักเดินเรือที่เดินทางมาพักแรมเพื่อทำการค้าและล่าสัตว์ทะเล
ช่วงปลายราชวงศ์หมิง (ศตวรรษที่ 16 – 17) ไต้หวันกลายเป็นสถานที่สำคัญสำหรับชาวจีนที่อพยพมาจากแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะชาวฮกเกี้ยนและชาวแต้จิ๋ว ซึ่งเดินทางข้ามช่องแคบไต้หวันเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้น ชาวจีนเหล่านี้เริ่มตั้งถิ่นฐานและทำการเกษตรในพื้นที่ชายฝั่งทางตะวันตกของไต้หวัน ส่งผลให้วัฒนธรรมจีนเริ่มหยั่งรากลึกในดินแดนแห่งนี้ โดยเฉพาะการใช้ภาษาฮกเกี้ยนและระบบการเกษตรแบบจีน

การอพยพของชาวจีนสู่ไต้หวันทวีความสำคัญขึ้นเมื่อเกิดความไม่สงบในจีนแผ่นดินใหญ่ ในช่วงที่ราชวงศ์หมิงเริ่มเสื่อมอำนาจจากการรุกรานของแมนจู ชาวจีนที่ภักดีต่อราชวงศ์หมิงบางส่วนเริ่มหลบหนีมายังไต้หวัน และนำรูปแบบการปกครองและวัฒนธรรมจีนมาเผยแพร่ในท้องถิ่น การติดต่อค้าขายระหว่างไต้หวันกับเมืองชายฝั่งของจีนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าข้าว เครื่องปั้นดินเผา และผลิตภัณฑ์จากทะเล
การมีอยู่ของชาวจีนในไต้หวันกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกาะแห่งนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนแผ่นดินใหญ่ ก่อนที่อิทธิพลจากชาติตะวันตกจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในยุคต่อมา การตั้งรากฐานของชาวจีนในไต้หวันเป็นพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองของไต้หวันในช่วงเวลาต่อมา ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในยุคอาณานิคมของชาติตะวันตกและการปกครองโดยราชวงศ์ชิง
3. การล่าอาณานิคมของชาวยุโรป ดัตช์และสเปน
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 มหาอำนาจยุโรปเริ่มขยายอาณานิคมและเครือข่ายการค้าทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไต้หวันกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของชาวยุโรป เนื่องจากเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการค้าทางทะเลระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดัตช์และสเปนเป็นสองชาติตะวันตกที่แข่งขันกันเพื่อควบคุมเกาะไต้หวันและใช้เป็นฐานการค้าและการปกครอง
โดยก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามายึดครองไต้หวันในศตวรรษที่ 17 ไต้หวันไม่มีรัฐบาลรวมศูนย์ที่เป็นรูปแบบชัดเจน พื้นที่ของเกาะถูกอาศัยโดยชนพื้นเมืองออสโตรนีเซียนที่แบ่งออกเป็นกลุ่มเผ่าต่าง ๆ แต่ละเผ่าปกครองตนเองภายใต้ระบบชุมชนหรือเครือญาติ ซึ่งมีลักษณะเป็นสังคมแบบกระจายอำนาจ ไม่มีผู้นำสูงสุดที่ควบคุมทั้งเกาะ ระบบปกครองของชนพื้นเมืองมีลักษณะเป็นเครือข่ายของหมู่บ้านอิสระ โดยแต่ละหมู่บ้านมีผู้นำหรือหัวหน้าที่ได้รับเลือกตามความสามารถในการนำพาเผ่า ไม่ใช่ระบบกษัตริย์หรือจักรวรรดิที่มีศูนย์กลางอำนาจเพียงแห่งเดียว
ในช่วงเวลานั้น เผ่าพื้นเมืองในไต้หวันดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ การทำเกษตรกรรมแบบง่าย ๆ และการประมง ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบแลกเปลี่ยนโดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติและการค้ากับดินแดนใกล้เคียง มีหลักฐานว่าเผ่าพื้นเมืองบางกลุ่มมีการค้าขายกับจีนแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะฟิลิปปินส์มานานแล้ว โดยแลกเปลี่ยนเครื่องปั้นดินเผา หินลับมีด อาวุธพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์จากทะเล อย่างไรก็ตาม ชาวจีนที่เข้ามาทำการค้ากับไต้หวันในช่วงแรกไม่ได้ตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร
แม้ว่าจีนแผ่นดินใหญ่จะมีความสัมพันธ์กับไต้หวันมานาน แต่ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 17 จีนไม่ได้ถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนภายใต้การปกครองโดยตรงของตน เนื่องจากไต้หวันอยู่ห่างจากชายฝั่งจีน และชนพื้นเมืองมีรูปแบบการปกครองที่ไม่เป็นระบบจักรวรรดิ จักรพรรดิของจีนจึงไม่ได้ให้ความสนใจในการควบคุมดินแดนนี้โดยตรง แม้ว่าจะมีนักเดินเรือและพ่อค้าจีนบางส่วนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานริมชายฝั่งของไต้หวัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีอำนาจในการควบคุมหรือบริหารพื้นที่ทั้งหมดของเกาะ
สถานการณ์นี้ทำให้ไต้หวันเป็นดินแดนที่เปิดกว้างต่อการสำรวจและล่าอาณานิคมจากชาติตะวันตกในเวลาต่อมา เมื่อชาวดัตช์และสเปนเข้ามาตั้งสถานีการค้าและกองกำลังทางทหาร พวกเขาพบว่าไต้หวันเป็นเกาะที่ยังไม่มีอำนาจรัฐที่เข้มแข็ง ซึ่งเอื้อต่อการเข้ายึดครองและสร้างฐานอำนาจของตนเองในช่วงศตวรรษที่ 17
ชาวดัตช์เข้ายึดครองทางตอนใต้ของไต้หวันในปี 1624 โดยก่อตั้ง ป้อมซานเตียโก (Fort Zeelandia) ที่เมือง ไถหนาน (Tainan) ในปัจจุบัน ภายใต้การบริหารของบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (Dutch East India Company) ดัตช์พยายามเปลี่ยนไต้หวันให้เป็นศูนย์กลางการค้าและส่งออกสินค้าสำคัญ เช่น ข้าว น้ำตาล และกวางแดงไปยังญี่ปุ่นและจีน พร้อมทั้งนำศาสนาคริสต์และวัฒนธรรมยุโรปเข้ามาเผยแพร่ในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ดัตช์ยังใช้นโยบายบริหารชาวพื้นเมือง โดยการควบคุมและรวมกลุ่มชนพื้นเมืองให้ทำงานในภาคเกษตรกรรมและค้าขาย
ในปี 1626 สเปนเข้ามายึดพื้นที่ทางตอนเหนือของไต้หวัน โดยสร้าง ป้อมซานซัลวาดอร์ (Fort San Salvador) ใกล้กับเมืองจีหลง (Keelung) และป้อมซานโดมิงโก (Fort San Domingo) ที่ต้านสุ่ย (Tamsui) สเปนตั้งเป้าใช้ไต้หวันเป็นฐานการค้าและการเผยแผ่ศาสนาคริสต์สู่จีนและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของสเปนในไต้หวันมีอายุสั้น เนื่องจากขาดเสถียรภาพทางการปกครองและเผชิญแรงกดดันจากดัตช์

ในปี 1642 ดัตช์สามารถขับไล่สเปนออกจากไต้หวันได้สำเร็จ และควบคุมเกาะทั้งทางเหนือและใต้ ดัตช์เร่งพัฒนาเศรษฐกิจโดยการขยายพื้นที่เพาะปลูก การค้ากับจีนและญี่ปุ่นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การปกครองของดัตช์ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากชาวพื้นเมืองและแรงกดดันจากกองกำลังของจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การล่มสลายของการปกครองดัตช์เมื่อเจิ้ง เฉิงกง (Koxinga) ขับไล่ดัตช์ออกจากไต้หวันในปี 1662
4. การปกครองของราชวงศ์ชิงและการรวมไต้หวันเข้ากับจีน
หลังจากที่ไต้หวันอยู่ภายใต้การปกครองของชาวดัตช์และต่อมาโดยราชวงศ์หมิงช่วงสั้น ๆ ในที่สุดราชวงศ์ชิงสามารถเข้าควบคุมไต้หวันได้ในปี 1683 หลังจากที่แม่ทัพ ฉีหลาง (Shi Lang) นำกองทัพเรือของราชวงศ์ชิงเข้าปราบปรามกองกำลังของ เจิ้ง เคิงกง (Koxinga) ผู้ที่ปกครองไต้หวันและพยายามใช้เกาะนี้เป็นฐานที่มั่นเพื่อต่อต้านราชวงศ์ชิง เมื่อสามารถเอาชนะกองกำลังเจิ้งได้ ราชวงศ์ชิงได้ผนวกไต้หวันเข้ากับอาณาจักรจีน และเริ่มกระบวนการปกครองแบบมณฑลของจีนแผ่นดินใหญ่
ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิง ไต้หวันถูกจัดให้อยู่ภายใต้เขตการปกครองของมณฑลฝูเจี้ยนในช่วงแรก และต่อมาในปี 1887 ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมณฑลเต็มรูปแบบของจีน โดยมี หลิว หมิงฉวน (Liu Mingchuan) เป็นข้าหลวงคนแรกที่บริหารปกครอง ด้วยสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างชาวจีนผู้อพยพ ชนพื้นเมือง และรัฐบาลกลาง ราชวงศ์ชิงต้องใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวด รวมถึงการจัดตั้งกฎหมายที่เน้นการควบคุมชนพื้นเมืองและการกระตุ้นให้ชาวจีนจากฝูเจี้ยนและกวางตุ้งอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่มขึ้น

ในช่วงนี้ ไต้หวันมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน หลิว หมิงฉวนได้นำเทคโนโลยีตะวันตกเข้ามา เช่น การสร้างทางรถไฟสายแรกของไต้หวัน การนำระบบไปรษณีย์มาใช้ และการพัฒนาด้านโทรคมนาคม นอกจากนี้ ยังมีความพยายามในการพัฒนาภาคเกษตรกรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การปกครองของราชวงศ์ชิงไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนชาวไต้หวันนัก เนื่องจากการปกครองที่เข้มงวดและการเก็บภาษีที่หนักหน่วง ก่อให้เกิดการลุกฮือของประชาชนหลายครั้ง
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ราชวงศ์ชิงเริ่มอ่อนแอลงจากปัญหาภายในและแรงกดดันจากต่างชาติ ในปี 1895 หลังจากที่จีนพ่ายแพ้ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (First Sino-Japanese War) ตาม สนธิสัญญาชิโมโนเซกิ (Treaty of Shimonoseki) ราชวงศ์ชิงถูกบังคับให้ยกไต้หวันให้แก่จักรวรรดิญี่ปุ่น การปกครองของจีนที่ดำเนินมากว่าสองศตวรรษจึงสิ้นสุดลง และเข้าสู่ยุคการปกครองของญี่ปุ่น ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคมและเศรษฐกิจของไต้หวัน
5. การปกครองของญี่ปุ่น (1895-1945)
หลังจากที่จีนพ่ายแพ้ใน สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (First Sino-Japanese War) จีนถูกบังคับให้ลงนามใน สนธิสัญญาชิโมโนเซกิ (Treaty of Shimonoseki) ในปี 1895 ซึ่งมีผลให้จีนต้องยกเกาะไต้หวันและหมู่เกาะเผิงหูให้กับจักรวรรดิญี่ปุ่น ไต้หวันจึงกลายเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และนับเป็นดินแดนโพ้นทะเลแห่งแรกของจักรวรรดิญี่ปุ่น

ในช่วงแรกของการปกครอง ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับการต่อต้านจากประชาชนชาวไต้หวันที่ไม่พอใจการปกครองของชาวต่างชาติ การลุกฮือที่สำคัญ ได้แก่ การก่อตั้งสาธารณรัฐไต้หวัน (Republic of Formosa) ซึ่งเป็นความพยายามของขุนนางจีนและชาวไต้หวันบางส่วนในการตั้งรัฐอิสระขึ้นเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม กองทัพญี่ปุ่นสามารถปราบปรามการต่อต้านได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนและเข้าควบคุมไต้หวันอย่างสมบูรณ์

หลังจากการปราบปรามการกบฏ ญี่ปุ่นเริ่มดำเนินนโยบายบริหารไต้หวันอย่างเป็นระบบ มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างทางรถไฟ ถนน และระบบสาธารณูปโภคสมัยใหม่ การปกครองของญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นระบบอาณานิคมแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีผู้ว่าราชการจากญี่ปุ่นควบคุมพื้นที่และดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและควบคุมประชากรท้องถิ่นอย่างเข้มงวด
ในด้านเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นพัฒนาไต้หวันให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวและอ้อยเพื่อส่งกลับไปยังญี่ปุ่น มีการตั้งสถานีวิจัยเกษตรเพื่อปรับปรุงพันธุ์พืชและเพิ่มผลผลิต นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังนำระบบการศึกษาแบบสมัยใหม่เข้ามาเผยแพร่ มีการสร้างโรงเรียน สอนภาษาญี่ปุ่น และส่งเสริมให้ชาวไต้หวันรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านระบบการศึกษาและสื่อมวลชน อย่างไรก็ตาม ชาวไต้หวันยังถูกจำกัดสิทธิ์ทางการเมือง และถูกบังคับให้ยอมรับอำนาจของจักรวรรดิญี่ปุ่น


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (1939-1945) ไต้หวันถูกใช้เป็นฐานทัพสำคัญของญี่ปุ่นในมหาสมุทรแปซิฟิก มีการเกณฑ์แรงงานและทหารจากไต้หวันเพื่อสนับสนุนสงครามของญี่ปุ่น ชาวไต้หวันจำนวนมากถูกบังคับให้เข้าร่วมกองทัพจักรวรรดิ และมีบางส่วนที่เข้าร่วมกองกำลังต่อต้านญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงคราม ไต้หวันจึงถูกส่งกลับคืนให้กับจีนในปี 1945 ตามเงื่อนไขของ ปฏิญญาไคโร (Cairo Declaration) และ ปฏิญญาพอทสดัม (Potsdam Declaration) ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอนาคต
6. ไต้หวันหลังสงครามโลกครั้งที่สองและการกลับสู่จีน
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี 1945 ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรและต้องสละอาณานิคมของตนตามเงื่อนไขของ ปฏิญญาไคโร (Cairo Declaration) ปี 1943 และ ปฏิญญาพอทสดัม (Potsdam Declaration) ปี 1945 ซึ่งระบุว่าไต้หวันต้องถูกส่งคืนให้แก่จีน ส่งผลให้สาธารณรัฐจีน (ROC) ภายใต้การนำของพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ส่งกองกำลังเข้าควบคุมไต้หวันและยุติการปกครองของญี่ปุ่นบนเกาะ


การเปลี่ยนผ่านการปกครองจากญี่ปุ่นสู่จีนไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แม้ประชาชนบางส่วนจะยินดีที่ได้รับอิสรภาพจากญี่ปุ่น แต่ชาวไต้หวันส่วนใหญ่กลับรู้สึกแปลกแยกจากเจ้าหน้าที่ของพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งปฏิบัติต่อไต้หวันราวกับเป็นดินแดนยึดครอง มีการคอรัปชันอย่างกว้างขวาง และการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ เศรษฐกิจของไต้หวันที่เคยรุ่งเรืองภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนทรัพยากร วิกฤติเงินเฟ้อ และการบริหารจัดการที่ล้มเหลวของรัฐบาลใหม่
ความไม่พอใจของประชาชนไต้หวันปะทุขึ้นเป็นเหตุการณ์ กบฏ 28 กุมภาพันธ์ 1947 (February 28 Incident – 2/28 Incident) ซึ่งเริ่มต้นจากการปะทะกันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเรื่องการค้าขายสินค้าต้องห้าม แต่ลุกลามกลายเป็นการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งอย่างกว้างขวาง รัฐบาลจีนตอบโต้ด้วยการส่งกองทัพเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง มีการสังหารประชาชนหลายพันคน และดำเนินการกวาดล้างกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาล ส่งผลให้เกิดบาดแผลลึกในสังคมไต้หวันที่ส่งผลยาวนานต่อมา

แม้ว่าไต้หวันจะกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน แต่สถานการณ์ภายในจีนเองก็อยู่ในภาวะความขัดแย้งรุนแรง เนื่องจากสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) และพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ในปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตงสามารถยึดครองจีนแผ่นดินใหญ่ได้สำเร็จ และประกาศตั้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China – PRC) ขณะที่รัฐบาลก๊กมินตั๋งภายใต้เจียงไคเช็กต้องล่าถอยมายังไต้หวันและประกาศให้ไทเปเป็นศูนย์กลางของสาธารณรัฐจีน (ROC) ซึ่งนำไปสู่สถานะทางการเมืองที่ซับซ้อนของไต้หวันมาจนถึงปัจจุบัน
7. สงครามกลางเมืองจีนและการตั้งรัฐบาลของพรรคก๊กมินตั๋งในไต้หวัน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง จีนแผ่นดินใหญ่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ภายใต้การนำของ เจียง ไคเช็ก (Chiang Kai-shek) และพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ภายใต้การนำของ เหมา เจ๋อตง (Mao Zedong) สงครามกลางเมืองจีน (Chinese Civil War) ปะทุขึ้นอีกครั้งในช่วงปี 1946-1949 โดยมีการต่อสู้ที่รุนแรงทั่วประเทศ สงครามนี้เป็นผลจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างฝ่ายชาตินิยมของพรรคก๊กมินตั๋งและฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต


ในปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถควบคุมจีนแผ่นดินใหญ่ได้สำเร็จ และประกาศตั้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China – PRC) เจียง ไคเช็ก และรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้และล่าถอยไปยังเกาะไต้หวันพร้อมกับกองกำลังประมาณ 1.5 ล้านนาย และข้าราชการของรัฐบาล KMT หลายหมื่นคน นอกจากนี้ รัฐบาลยังนำเอาทรัพย์สิน วัตถุโบราณจากพระราชวังต้องห้าม และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมากจากแผ่นดินใหญ่มาด้วย

เมื่อก๊กมินตั๋งตั้งรัฐบาลในไต้หวัน พวกเขาประกาศให้ ไทเป (Taipei) เป็นเมืองหลวงชั่วคราวของ สาธารณรัฐจีน (ROC) ซึ่งยังคงอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนจีนแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จะยึดครองไปแล้ว รัฐบาล KMT ปกครองไต้หวันภายใต้ระบอบอำนาจนิยมและประกาศ กฎอัยการศึก (Martial Law) ตั้งแต่ปี 1949 เพื่อควบคุมประชาชนและปราบปรามผู้ที่ต่อต้านพรรค การใช้มาตรการเข้มงวดนี้นำไปสู่ช่วงเวลาแห่งการกวาดล้างทางการเมืองที่เรียกว่า “White Terror” (ความหวาดกลัวสีขาว) ซึ่งมีการจับกุมและประหารชีวิตผู้ต้องสงสัยว่าเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์หลายหมื่นคน
แม้ว่าพรรคก๊กมินตั๋งจะสูญเสียแผ่นดินใหญ่ไป แต่ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 ไต้หวันได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมองว่า ROC เป็นแนวหน้าสำคัญของฝ่ายโลกเสรีในสงครามเย็น รัฐบาลไต้หวันยังคงรักษาที่นั่งในสหประชาชาติ (UN) ในฐานะตัวแทนของจีนจนถึงปี 1971 ก่อนที่จะถูกแทนที่โดยรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาทำให้ไต้หวันสามารถพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งเพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากจีนแผ่นดินใหญ่

8. ยุคกฎอัยการศึกและการพัฒนาเศรษฐกิจ (1950-1980s)
ภายหลังจากที่พรรคก๊กมินตั๋งตั้งรัฐบาลในไต้หวันในปี 1949 พวกเขาประกาศใช้ กฎอัยการศึก (Martial Law) อย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 1949-1987 โดยอ้างว่ามีความจำเป็นต้องรักษาความมั่นคงของชาติท่ามกลางภัยคุกคามจากจีนแผ่นดินใหญ่ กฎอัยการศึกนี้ให้อำนาจรัฐบาลควบคุมสื่อมวลชน จำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และดำเนินการจับกุมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์หรือผู้ที่ต่อต้านรัฐบาล ส่งผลให้ช่วงเวลานี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “White Terror” (ความหวาดกลัวสีขาว) ซึ่งมีประชาชนหลายหมื่นคนถูกจับกุม คุมขัง และบางส่วนถูกประหารชีวิต

แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองที่เข้มงวด แต่ไต้หวันสามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างก้าวกระโดดในช่วง 1950s-1980s โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาในฐานะพันธมิตรในสงครามเย็น ไต้หวันได้รับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการลงทุนจากภาคเอกชนและรัฐบาลสหรัฐฯ นำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมที่สำคัญ เช่น สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรม การปฏิรูปที่ดินยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นเกษตรกรและส่งเสริมการพัฒนาเมือง
ในช่วง 1970s ไต้หวันเริ่มเปลี่ยนจากเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มตัว มีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางหลวง และระบบไฟฟ้า รวมถึงการลงทุนด้านการศึกษาและเทคโนโลยี ไต้หวันกลายเป็นหนึ่งใน สี่เสือแห่งเอเชีย (Four Asian Tigers) ร่วมกับฮ่องกง สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ โดยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงและมั่นคงตลอดช่วงเวลาดังกล่าว

แม้ว่าพรรคก๊กมินตั๋งจะยังคงปกครองแบบอำนาจนิยมและควบคุมประชาชนอย่างเข้มงวด แต่ในช่วงปลาย 1980s กระแสประชาธิปไตยเริ่มก่อตัวขึ้นในสังคมไต้หวัน แรงกดดันจากประชาชนและสภาพเศรษฐกิจที่มั่นคงทำให้รัฐบาลต้องเริ่มผ่อนคลายการควบคุม และนำไปสู่การยกเลิกกฎอัยการศึกในปี 1987 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในทศวรรษต่อมา
9. การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย (1980s-1990s)
ในช่วงปลายทศวรรษ 1980s กระแสประชาธิปไตยในไต้หวันเริ่มเข้มข้นขึ้นเนื่องจากแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ประชาชนเริ่มเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หลังจากอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกมานานถึง 38 ปีขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยนำโดยกลุ่มปัญญาชน นักศึกษา และพรรคฝ่ายค้านที่ต้องการให้ไต้หวันมีระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง


ในปี 1987 ประธานาธิบดี เจียง จิงกั๋ว (Chiang Ching-kuo) ซึ่งเป็นบุตรชายของ เจียง ไคเช็ก ได้ประกาศ ยกเลิกกฎอัยการศึก ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ไต้หวัน นโยบายนี้เปิดทางให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ และขยายเสรีภาพของสื่อมวลชน รวมถึงสิทธิในการประท้วงของประชาชน การยกเลิกกฎอัยการศึกยังช่วยลดแรงกดดันทางการเมืองและทำให้ไต้หวันได้รับการยอมรับมากขึ้นจากประชาคมโลก
ในปี 1991 ภายใต้การนำของประธานาธิบดี หลี่ เติงฮุย (Lee Teng-hui) ไต้หวันได้ ยกเลิกระบบรัฐสภาแห่งชาติ (National Assembly System) ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลก๊กมินตั๋งในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้พรรค KMT ครองอำนาจโดยไม่มีการเลือกตั้งที่แท้จริง การยกเลิกระบบนี้ถือเป็นการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ และเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การเลือกตั้งอย่างเสรีในระดับชาติ

ในปี 1996 ไต้หวันจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลี่ เติงฮุย กลายเป็นผู้นำที่ได้รับเลือกตั้งผ่านกระบวนการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทำให้ไต้หวันเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชียที่สามารถเปลี่ยนผ่านจากระบอบอำนาจนิยมไปสู่ระบอบประชาธิปไตยได้อย่างสันติ การเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจอธิปไตยของไต้หวัน ซึ่งทำให้จีนแผ่นดินใหญ่ไม่พอใจ และนำไปสู่ความตึงเครียดระหว่างสองฝ่าย
10. ความขัดแย้งกับจีนแผ่นดินใหญ่และสถานะระหว่างประเทศของไต้หวัน
ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่เป็นประเด็นที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความตึงเครียดมาตั้งแต่ปี 1949 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถควบคุมจีนแผ่นดินใหญ่และประกาศตั้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China – PRC) ขณะที่พรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ต้องล่าถอยไปยังไต้หวันและยังคงถือว่า สาธารณรัฐจีน (ROC) เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องของจีน สถานการณ์นี้นำไปสู่ภาวะที่จีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวันต่างอ้างสิทธิ์เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของจีน
ในช่วงสงครามเย็น ไต้หวันได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศตะวันตก ในขณะที่จีนแผ่นดินใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม สถานะระหว่างประเทศของไต้หวันเริ่มสั่นคลอนในปี 1971 เมื่อองค์การสหประชาชาติ (UN) ลงมติให้ที่นั่งของจีนเปลี่ยนจาก สาธารณรัฐจีน (ROC) เป็น สาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ซึ่งทำให้ไต้หวันถูกตัดออกจาก UN และองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง ไต้หวันจึงต้องเผชิญกับปัญหาทางการทูตอย่างหนัก
แม้จะไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากหลายประเทศ แต่ไต้หวันยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับนานาชาติ โดยเฉพาะกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในยุโรป ผ่านกลไกที่ไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ ไต้หวันยังเป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศบางแห่ง เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) ภายใต้ชื่อ “ไชนีสไทเป” (Chinese Taipei) เพื่อหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งทางการเมืองกับจีนแผ่นดินใหญ่
จีนแผ่นดินใหญ่ยังคงมองว่าไต้หวันเป็น มณฑลหนึ่งของจีน และมีนโยบายที่ไม่ยอมให้ไต้หวันแยกตัวเป็นอิสระอย่างเป็นทางการ จีนได้ใช้แรงกดดันทางการทูตเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศอื่น ๆ รับรองไต้หวันเป็นประเทศอิสระ พร้อมทั้งใช้มาตรการทางทหารข่มขู่ เช่น การซ้อมรบใกล้ช่องแคบไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ไต้หวันยังคงยืนหยัดในอธิปไตยของตนเองและมีการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการคงไว้ซึ่งสถานะปัจจุบันโดยไม่รวมกับจีน
11. การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเศรษฐกิจยุคใหม่
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21 ไต้หวันก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่สำคัญของโลก การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ในช่วง 1980s-1990s โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐที่ลงทุนในวิจัยและพัฒนา ตลอดจนสร้างสถาบันการศึกษาและศูนย์เทคโนโลยีเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่สามารถแข่งขันในตลาดโลก
หนึ่งในปัจจัยสำคัญของความสำเร็จของไต้หวันคือ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก เช่น Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ซึ่งกลายเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก ไต้หวันยังเป็นศูนย์กลางของการผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ เช่น Acer, ASUS, และ MediaTek ที่สามารถแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลกได้

เศรษฐกิจไต้หวันพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก โดยมีตลาดสำคัญในสหรัฐอเมริกา จีนแผ่นดินใหญ่ และยุโรป แม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับจีนแผ่นดินใหญ่ แต่การค้าและการลงทุนระหว่างสองฝ่ายก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไต้หวัน การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และการพัฒนาเทคโนโลยี 5G, AI และ Internet of Things (IoT) ช่วยให้ไต้หวันสามารถคงตำแหน่งผู้นำด้านนวัตกรรมระดับโลก
การเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีส่งผลให้มาตรฐานการครองชีพของชาวไต้หวันดีขึ้นอย่างมาก โดยมี GDP ต่อหัวสูงขึ้น และอัตราการว่างงานต่ำ อย่างไรก็ตาม ไต้หวันยังเผชิญกับความท้าทาย เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การพึ่งพาการส่งออก และการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เกาหลีใต้และจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งทำให้ต้องพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ
12. ไต้หวันในศตวรรษที่ 21 การเมือง เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ในศตวรรษที่ 21 ไต้หวันยังคงเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองภายในและความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ การเมืองภายในของไต้หวันมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ซึ่งสนับสนุนแนวคิดไต้หวันเป็นอิสระ มีบทบาทสำคัญในการเมือง ขณะที่พรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ยังคงสนับสนุนนโยบายที่เป็นมิตรกับจีนแผ่นดินใหญ่ ความขัดแย้งระหว่างสองพรรคนี้ส่งผลต่อทิศทางนโยบายของรัฐบาลไต้หวัน โดยเฉพาะในด้านการต่างประเทศและการค้า
เศรษฐกิจของไต้หวันยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยอาศัยอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป็นหลัก ไต้หวันเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก และมีบริษัทอย่าง TSMC เป็นผู้นำในการผลิตชิปที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก นอกจากนี้ ภาคเทคโนโลยีสารสนเทศ อุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ และพลังงานหมุนเวียนก็ได้รับการพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพาการผลิตอิเล็กทรอนิกส์เพียงอย่างเดียว
ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไต้หวันยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งพยายามลดบทบาทของไต้หวันในเวทีโลก อย่างไรก็ตาม ไต้หวันยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในยุโรปผ่านข้อตกลงทางเศรษฐกิจและความร่วมมือทางเทคโนโลยี แม้ว่าหลายประเทศจะไม่สามารถรับรองไต้หวันอย่างเป็นทางการได้ แต่ก็ยังคงสนับสนุนไต้หวันผ่านช่องทางที่ไม่เป็นทางการ เช่น การขายอาวุธและการสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ
อนาคตของไต้หวันยังคงเป็นหัวข้อที่สำคัญในการเมืองระหว่างประเทศ โดยมีคำถามเกี่ยวกับสถานะของไต้หวันและความเป็นไปได้ของการรวมตัวกับจีนหรือการคงสถานะปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไต้หวันยังคงตึงเครียด และการเมืองระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของไต้หวันในอนาคต ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ไต้หวันยังคงรักษาบทบาทของตนในฐานะประเทศที่มีอิทธิพลด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในเวทีโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับไทย
แม้ว่าไทยและไต้หวันจะไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ เนื่องจาก ไทยยึดถือนโยบายจีนเดียว (One China Policy) แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความร่วมมือที่แน่นแฟ้นในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยมีสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปในกรุงเทพฯ และสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทยในไทเปเป็นตัวแทนในการประสานความร่วมมือระหว่างกัน

ด้านเศรษฐกิจ ไทยและไต้หวันมีการค้าขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไต้หวันเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายสำคัญในไทย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัทไต้หวันหลายแห่ง เช่น Delta Electronics และ Foxconn มีฐานการผลิตในไทย นอกจากนี้ ไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศส่งออกข้าวและสินค้าเกษตรที่สำคัญของไต้หวัน
ในด้านการท่องเที่ยว ไต้หวันเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย และในทางกลับกัน คนไต้หวันก็เดินทางมาเที่ยวไทยเป็นจำนวนมากเช่นกัน รัฐบาลไต้หวันได้อนุญาตให้คนไทยเดินทางเข้าไต้หวันได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า (ภายใต้เงื่อนไขบางประการ) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกัน
นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือด้านการศึกษาและแรงงาน โดยมีนักศึกษาไทยจำนวนมากเดินทางไปศึกษาต่อในไต้หวันผ่านโครงการทุนการศึกษาและความร่วมมือทางวิชาการ ในขณะเดียวกัน แรงงานไทยจำนวนมากทำงานในภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้างในไต้หวัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของแรงงานต่างชาติที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจของไต้หวัน
ไต้หวันนั้นเป็นเกาะที่มีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมในเอเชียตะวันออก แม้จะมีความซับซ้อนทางการเมืองและสถานะระหว่างประเทศ แต่ไต้หวันยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเองและเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก ด้วยประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ การล่าอาณานิคมของญี่ปุ่น ไปจนถึงการเติบโตเป็นหนึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบัน นอกจากนี้ ไต้หวันยังมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับหลายประเทศ รวมถึงไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการศึกษา ซึ่งช่วยเสริมสร้างบทบาทของไต้หวันในระดับสากล
ไต้หวัน เป็นหนึ่งในประเทศที่มีพลวัตสูงและมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจและเทคโนโลยีโลก แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองและความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ไต้หวันยังคงเดินหน้าพัฒนาและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อุตสาหกรรม และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ไต้หวันจึงเป็นดินแดนที่ควรค่าแก่การศึกษาและทำความเข้าใจ ทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์และอนาคตที่จะเกิดขึ้น การท่องเที่ยวในดินแดนนี้จึงเป้นประสบการร์ที่ควรค่าและคู่ควรแก่การไปให้ได้ซักครั้งในชีวิต

>> รวมพิกัดที่เที่ยวไต้หวัน ครบๆ คลิก
>>ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของเราได้ที่ช่องทางนี้ คลิก
“เรามุ่งมั่นที่จะทำทัวร์ท่องเที่ยวให้แตกต่างจากทั่วไป สถานที่ที่คุณจะได้ไปนั้นนอกจากจะได้ท่องเที่ยวพักผ่อนไปกับเราแล้วเรายังเปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้กับคุณอีกด้วย กับแผนการเดินทางที่แตกต่างและไม่จำเจเหมือนกับทั่วๆไป อีกทั้งคุณยังได้รับการดูแลและมีบริการที่แตกต่าง ให้คุณเปรียบเสมือนคนพิเศษ ให้ได้รู้สึกสัมผัสการไปเที่ยวไม่เหมือนใคร และจะประทับใจแบบไม่มีทางลืมได้เลย..” คุณสามารถติดต่อหาเราได้ตามช่องทางข้างล่างนี้เพื่อเลือกเคมเปญที่เหมาะสมที่สุดให้กับคุณ
💬 ติดต่อเราได้เลย!

Comment (0)